การตรวจลำไส้เล็กด้วยวิธีการกลืนแคปซูล หรือที่เรียกว่า แคปซูลเอ็นโดสโคป ที่ใช้กล้องบันทึกภาพขนาดจิ๋วติดไปกับแคปซูล และให้คนไข้กลืนเข้าไปในร่างกาย เพื่อวินิจฉัยโรคในระบบทางเดินอาหารมีมานานกว่า 10 ปีแล้ว สมัยนั้นก็ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ผู้คนฮือฮากันมาก เพราะช่วยลดความทรมานจากการที่จะต้องกลืนแป้งเพื่อส่องกล้องเข้าไปในลำไส้เหมือนสมัยก่อน
แต่เมื่อ 2-3 ปีก่อน มีนวัตกรรมที่ล้ำกว่า เมื่อนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย RMIT และมหาวิทยาลัยโมนาชในประเทศออสเตรเลีย สามารถคิดค้นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คล้ายแคปซูลแต่แทนที่จะใช้การกลืนเข้าไปตรวจในลำไส้ กลายเป็นการแกะรอยการ “ตด” หรือผายลมของมนุษย์
แคปซูลตรวจจับตดที่ว่านี้ มีขนาดพอๆกับเม็ดน้ำมันตับปลาที่คนไข้สามารถกลืนลงท้องได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องใช้การสอดท่อสวนทวารเพื่อตรวจสอบการทำงานของระบบทางเดินอาหาร

ศ.ปีเตอร์ กิ๊บสัน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโมนาช ออสเตรเลีย อธิบายว่า การทำงานของแคปซูลตรวจจับการผายลม จะทำหน้าที่เก็บตัวอย่างแก๊สในระบบทางเดินอาหารของมนุษย์เป็นช่วงๆ จากนั้นจะส่งข้อมูลกลับไปยังคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ ยังสามารถวัดอุณหภูมิ และสภาพความเป็นกรดในระบบทางเดินอาหาร เพื่อเป็นข้อมูลให้ทราบถึงสภาพของลำไส้ในขณะนั้นๆ
...
ก่อนหน้านี้ นักวิจัยได้ทำการทดสอบอุปกรณ์ต้นแบบกับหมู ซึ่งมีระบบการย่อยอาหารคล้ายคลึงคนมากที่สุด เพื่อระบุตำแหน่งการเกิดแก๊สในกระบวนการย่อยอาหารและติดตามดูว่าปริมาณแก๊สที่เกิดขึ้นเกิดจากการกินอาหารประเภทใด
ศ.กิ๊บสัน บอกว่า แม้การผายลมจะดูเป็นเรื่องธรรมชาติ และเป็นอาการปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นภายในระบบย่อยอาหาร แต่ที่มากไปกว่านั้น คือการขับแก๊สจากร่างกายของคนเราอาจบ่งบอกถึงการทำงานของระบบภายในได้
ภายหลังทดลองแคปซูลดังกล่าวกับหมู นักวิจัยได้จัดทำโครงการนำร่องทดสอบการใช้อุปกรณ์ดังกล่าวในกลุ่มอาสาสมัคร โดยให้กลืนแคปซูลที่ข้างในบรรจุอุปกรณ์ส่งสัญญาณไร้สาย เสาอากาศ แบตเตอรี่ และอุปกรณ์ตรวจจับแก๊สเข้าไปในร่างกาย ขณะเดียวกันก็ให้กินอาหารตามที่กำหนดในการทดสอบแต่ละครั้ง
จากการทดสอบดังกล่าว นักวิจัยพบว่าอาหารที่มีเส้นใยสูงทำให้เกิดก๊าซออกซิเจนในลำไส้ใหญ่ และมีอาสาสมัครบางคนที่เข้ารับการทดสอบมีอาการปวดท้องร่วมด้วย และเมื่อนำอุจจาระมาตรวจก็พบแบคทีเรียที่มีส่วนทำให้การทำงานของระบบย่อยอาหารผิดปกติ ในทางกลับกันหากรับประทานอาหารที่มีเส้นใยต่ำมาก ระดับแก๊สในลำไส้ใหญ่จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ที่พิเศษไปกว่านั้น แคปซูลตรวจจับการผายลมสามารถทำงานอยู่ในร่างกายได้นานถึง 3 วันเต็ม ขณะที่ในช่วงที่กินอาหารที่มีเส้นใยสูงแคปซูลจะทำงานได้นานถึง 23 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ทีมงานได้ตั้งบริษัทเพื่อผลิตแคปซูลนี้วางจำหน่ายแล้ว แม้งานวิจัยจะยังไม่สมบูรณ์ 100% เป็นการวางแผนที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพของคนยุคใหม่ ซึ่งต้องการเวชภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบของเทคโนโลยีและนวัตกรรมมากกว่าเทคโนโลยีแบบเดิมๆ
นอกจากแคปซูลตรวจการผายลมของมนุษย์แล้ว นวัตกรรมแคปซูลยังได้รับการพัฒนาในรูปแบบต่างๆ เช่น ยาเเคปซูลฝังเซ็นเซอร์แบบกลืนได้ ที่ใช้ในการตรวจภาวะลำไส้อุดตันจากการตีบแคบของลำไส้ ที่อาจเกิดจากการอักเสบของลำไส้ หรือเคยผ่าตัดช่องท้องหรือก้อนเนื้องอก ซึ่งอาจจะมีผลทำให้เกิดอาการท้องอืด ปวดท้อง
โดยส่วนประกอบทางชีววิทยาของยาแคปซูลฝังเซ็นเซอร์แบบกลืนได้นี้ เป็นแบคทีเรียที่ถูกปรับแต่งให้เรืองแสงเมื่อสัมผัสกับโมเลกุลในเลือดที่มีธาตุเหล็กอยู่ภายใน
ขณะที่ส่วนประกอบทางอิเล็กทรอนิกส์ของแคปซูลยานี้ มีทั้งตัววัดแสงขนาดจิ๋ว ชิปคอมพิวเตอร์ แบตเตอรี่และตัวส่งสัญญาณวิทยุที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลไปยังโทรศัพท์มือถือหรือเครื่องคอมพิวเตอร์
ฟิลลิป นาโด (Phillip Nadeau) วิศวกรไฟฟ้าแห่งสถาบันเทคโนโลยีเเมสซาชูเสตต์
หรือเอ็มไอที (MIT) กล่าวว่า องค์ประกอบทั้งหมดนี้ถูกบรรจุอยู่ด้วยกันในแคปซูลที่ยาว 3 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร สาเหตุที่ต้องมีขนาดเล็กมาก ก็เนื่องจากพื้นที่ในลำไส้มีจำกัด ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคในการใช้แคปซูลเซ็นเซอร์เพื่อตรวจหาความผิดปกติในลำไส้ของมนุษย์
“เรายังคงจะเดินหน้าพัฒนาทางวิศวกรรมของแคปซูลฝังเซ็นเซอร์นี้ต่อไป โดยทำให้ขนาดของแคปซูลเล็กลง ง่ายต่อการกลืน แต่จะไม่มี ผลต่อการตรวจหรือรักษา” นาโดให้ความมั่นใจ
...
จากการทดสอบหลายครั้งในห้องทดลอง และการทดสอบกับหมู พบว่า แคปซูลเซ็นเซอร์ลำไส้แบบกลืนได้นี้ สามารถแยกได้สำเร็จว่าหมูทดลองตัวใดได้กินเลือดในปริมาณเล็กน้อยกับหมูทดลองตัวที่ไม่ได้กินเลือด โดยทีมนักวิจัยตั้งเป้าที่จะทำการทดลองในคนให้สำเร็จภายใน 1-2 ปีนี้

เจฟ ทาบอร์ (Jeff Tabor) วิศวกรด้านชีวการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยไรซ์ (Rice University) ซึ่งไม่มีส่วนในการทดลองนี้ กล่าวว่า ผลการทดลองดังกล่าวถือเป็นความคืบหน้าก้าวแรกที่ดี แต่อุปกรณ์นี้อาจจะยังไม่มีความละเอียดอ่อนพอในการตรวจหาโรคได้ในผู้ป่วยจริงๆ และสำหรับโรคหลายๆโรคที่เกิดขึ้นจริงๆ ร่างกายผู้ป่วยอาจจะมีโมเลกุลชนิดนี้ในปริมาณน้อยกว่าปริมาณที่อุปกรณ์จะตรวจจับได้
“ผมรู้สึกตื่นเต้นมากเกี่ยวกับผลงานนี้และถือเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญมาก แต่ก็ยังคงต้องการความแน่นอนและชัดเจนในการวิจัยอย่างลึกซึ้งอีกระยะหนึ่ง” ทาบอร์บอก
ระหว่างที่แคปซูลตรวจจับตดของออสเตรเลีย และแคปซูลฝังเซ็นเซอร์ของอเมริกา ยังคงอยู่ระหว่างพัฒนาและวิจัย Christian Pointcheval ชายชาวฝรั่งเศส วัย 65 ปี ได้พัฒนาสูตรยาลดกรดที่ช่วยเปลี่ยนกลิ่นผายลมอันไม่พึงประสงค์ ให้กลายเป็นกลิ่นหอมของดอกไม้ เรียกว่าตดเหม็นแค่ไหนก็ไม่ระคายจมูกหรือส่งกลิ่นเหม็นให้คนอื่นได้กลิ่น
Pointcheval บอกว่า การคิดค้นของเขาได้แรงบันดาลใจขณะที่เขากำลังรับประทานอาหารอยู่กับเพื่อนๆ แต่จู่ๆเพื่อนคนหนึ่งเกิดผายลมออกมาโดยไม่ตั้งใจ เขาเล่าว่า กลิ่นมันเหม็นมาก จนทำให้หายใจแทบไม่ออก หลังจากนั้นจึงพยายามหาทางแก้ปัญหา จนสามารถคิดค้นยาที่ช่วยให้ทุกคนสามารถผายลมได้แบบไม่ต้องเขินอาย และไม่ว่าจะอยู่ในรถยนต์ หรือในลิฟต์ก็ไม่รบกวนเพื่อนข้างๆอีกต่อไป
ยาลดกรดนี้สกัดขึ้นจากส่วนผสมทางธรรมชาติหลายชนิด ทั้งยี่หร่า สาหร่าย บลูเบอร์รี ซึ่งนอกจากจะช่วยเปลี่ยนกลิ่นผายลมให้เป็นกลิ่นดอกไม้ ยังมีสรรพคุณช่วยย่อยลดแก๊สในกระเพาะอาหาร และยังแก้ท้องอืดได้ด้วย
ฟังแบบนี้นึกถึงยาเม็ดเขียว พูดินทาราของอินเดียที่สมัยก่อน
ใครไปแดนภารตะต้องซื้อติดไม้ติดมือกลับมา เพราะนอกจากจะช่วยลดอาการท้องอืด แน่นท้องแล้ว ยังทำให้ลมที่เรอออกมามีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ
เรียกว่าถ้ากินทั้งยาแขก ยาฝรั่ง งานนี้จะออกข้างล่างหรือข้างบนก็ไม่ต้องเป็นกังวลแน่นอน.