ช่วยชาวบ้าน เกศรา วิมลเกษม และ ธนพล ทรงพุฒิ รับมอบข้าวสารหอมมะลิอินทรีย์จากศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า-เกษตรทิพย์ จ.ศรีสะเกษ จำนวน 5,000 กก. เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่มูลนิธิกระจกเงา วันก่อน.
ความสามัคคีร่วมใจช่วยให้ประเทศพ้นวิกฤติ...หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ยักษ์ใหญ่สารพัดสี จำหน่ายมากที่สุดของประเทศ ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม 2564

...
“ธนูเทพ” ประจำการรับใช้ท่านผู้อ่าน...สำนักพระราชวัง ขอเชิญชวนประชาชนร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2564 ผ่านระบบออนไลน์ ที่เว็บไซต์หน่วยราชการในพระองค์ royaloffice.th ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 13 สิงหาคม...โปรดรับทราบโดยทั่วกัน
ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย แต่ขณะเดียวกันได้เกิดปัญหาเรื่องการ เผยแพร่ข้อมูลเท็จ หรือเฟกนิวส์ สร้างความสับสนให้แก่ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการบริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. ออกข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 29) ลงวันที่ 29 ก.ค.2564 โดยข้อกำหนด ข้อที่ 1. ห้ามเสนอข่าว จำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความทำให้คนหวาดกลัว หรือ บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย ข้อที่ 2. กรณีที่มีการเผยแพร่ข้อความ หรือข่าวสารตามข้อ 1 บนอินเตอร์เน็ต ให้ สำนักงาน กสทช. แจ้งผู้รับใบอนุญาตการให้บริการอินเตอร์เน็ตทราบ เพื่อตรวจสอบข้อความดังกล่าวมาจากเลขที่อยู่ไอพี (IP address) ใด หากเป็นเลขที่ให้บริการอยู่ให้แจ้งรายละเอียดกับ กสทช. ทราบ เพื่อสั่งระงับการให้บริการอินเตอร์เน็ตแก่หมายเลขไอพีนั้นทันที และเมื่อดำเนินการแล้วให้ กสทช. ส่งรายละเอียดให้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินคดี หากผู้รับใบอนุญาตรายใดไม่ทำตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ให้ กสทช. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป...โดยมีเสียงคัดค้านจากองค์กรสื่อว่าเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน ขณะที่ บริษัทรีพอร์ตเตอร์ โปรดักชั่น จำกัด กับพวกรวม 12 คน ยื่นฟ้อง นายกฯประยุทธ์ ต่อศาลแพ่ง ขอให้เพิกถอนข้อกำหนดดังกล่าว และขอให้ศาลไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว โดยขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการบังคับใช้ข้อกำหนดดังกล่าว และห้ามมิให้นำมาตรการ คำสั่ง หรือการกระทำการใดๆ ที่สั่งการตามประกาศดังกล่าวมาใช้กับฝ่ายโจทก์ ประชาชน และสื่อมวลชน จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด

...
ล่าสุด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ศาลแพ่ง ออกนั่งพิจารณาไต่สวนพยานหลักฐานแล้วมีคำสั่ง โดยสรุปใจความว่า ข้อกำหนด ข้อ 1 ที่ห้ามเผยแพร่ข้อความ อันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว มิได้จำกัดเฉพาะข้อความอันเป็นเท็จดังเหตุผลและความจำเป็นตามที่ระบุไว้ในการออกข้อกำหนดดังกล่าว ย่อมเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของโจทก์ และประชาชน ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติคุ้มครองไว้ รวมทั้งข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวตามข้อกำหนดข้อดังกล่าว มีลักษณะไม่แน่ชัดและขอบเขตกว้าง ทำให้โจทก์ ประชาชน และผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ไม่มั่นใจในการแสดงความคิดเห็นและสื่อสารตามเสรีภาพ ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติคุ้มครองไว้ นอกจากนี้ยังเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ...
ส่วนข้อกำหนด ข้อ 2 ที่ให้อำนาจการระงับการให้บริการอินเตอร์เน็ตแก่เลขที่อยู่ไอพี (IP address) ที่มีการเผยแพร่ข้อความหรือข่าวสารในอินเตอร์เน็ตที่ฝ่าฝืนข้อกำหนด ไม่ปรากฏว่ามาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินให้อำนาจ นายกรัฐมนตรี ออกข้อกำหนดให้ดำเนินการระงับการให้บริการอินเตอร์เน็ต จึงเป็นข้อกำหนดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งการระงับการให้บริการอินเตอร์เน็ตเป็นการปิดกั้นการสื่อสารของบุคคล และเป็นการปิดกั้นสุจริตชนผู้ไม่มี ส่วนเกี่ยวข้องในการเผยแพร่ข้อมูล การให้ข้อกำหนดทั้งสองข้อดังกล่าวมีผลบังคับ ใช้ต่อไป อาจทำให้เกิดความเสียหายที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังได้...
กรณีมีเหตุจำเป็นเห็นเป็นการยุติธรรมและสมควรในการนำวิธีชั่วคราวก่อนพิพากษามาใช้ เพื่อเป็นการระงับการบังคับใช้ข้อกำหนดทั้งสองข้อดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ และการระงับการบังคับใช้ข้อกำหนดดังกล่าวไม่น่าเป็นอุปสรรคแก่การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ของรัฐหรือแก่สาธารณประโยชน์ เพราะยังมีมาตรการทางกฎหมายหลายฉบับ ให้สามารถดำเนินการเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อความหรือข่าวสารที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายผ่านช่องทางสื่อสารต่างๆ อีกทั้งรัฐบาลสามารถใช้สื่อวิทยุและโทรทัศน์ในการกำกับเป็นเครื่องมือในการให้ความรู้ เพื่อการรู้เท่าทัน สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและตรวจสอบข้อเท็จจริง เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนแก่ประชาชนได้ด้วย “จึงมีคำสั่งห้ามจำเลยดำเนินการบังคับใช้ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น”...ชัดเจนทุกถ้อยคำตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เสรีภาพสื่อ คือเสรีภาพประชาชน

...
เฮ้อ...โครงการภูเก็ตแซนด์-บ็อกซ์ นำร่องเปิดเกาะภูเก็ตให้นักท่อง-เที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ครบ 2 เข็ม เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยว กำลังเดินหน้าไปได้สวย แต่จู่ๆก็เกิดคดีสะเทือนขวัญ เมื่อ นิโคล โซเวน ไวสคอปฟ์ สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ นักท่องเที่ยวในโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ถูกฆาตกรรม ที่บริเวณธารน้ำตกโตน–อ่าวยน ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต...
แน่นอน งานนี้ร้อนกันทั้งรัฐบาล เพราะสะเทือนถึงโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ นโยบายนำร่องที่ นายกฯประยุทธ์ หมายมั่น ปั้นมือถึงขั้นประกาศจะเปิดประเทศ ภายใน 120 วัน...หลังเกิดเหตุ อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกรัฐบาล ระบุว่า นายกรัฐมนตรี รับทราบกรณีดังกล่าวและขอแสดงความเสียใจไปถึงครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการสืบสวนและ จับกุมผู้กระทำความผิดให้ได้โดยเร็ว เน้นย้ำให้ทุกส่วนราชการเพิ่มความเข้มงวดดูแลนักท่องเที่ยวตามโครงการฯ ให้มากยิ่งขึ้น และมอบหมายให้ กระทรวงการต่างประเทศ และ การท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย (ททท.) เร่งประสานหน่วยงานต่างๆ เพื่อยกระดับมาตรการด้านสาธารณสุขและความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและชาวต่างชาติโดยเร็ว พร้อมขอให้คนไทยช่วยกันรักษาภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเกิดรายได้ให้กับประเทศไทยต่อไป...

ขณะที่ ดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ ได้โทรศัพท์แสดงความเสียใจกับ เอกอัครราชทูตสวิสประจำประเทศไทย ไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต โดยยืนยัน กระทรวงการต่างประเทศ จะประสานกับสถานเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย เพื่อรายงานความคืบหน้าทางคดีอย่างต่อเนื่อง...งานนี้ นอกจากเรื่องประสานขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ต้องเร่งดำเนินการลากคอคนร้ายมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด แต่อย่าให้มีเหตุการณ์ “จับแพะ” อย่าง
เด็ดขาด เข้าใจตรงกันนะ
ผ่างๆ...สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติเต็มๆ ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้หารือกับรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้าน โดยให้งดประชุมสภาฯ วันที่ 11 ส.ค. เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 และข้อกำหนด ศบค.ห้ามเคลื่อนย้ายบุคคลข้ามจังหวัด สรุปง่ายๆ ก็คือ ต้องงดการประชุมในสัปดาห์หน้าอีก 1 สัปดาห์ โดยจะเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งวันที่ 18–20 ส.ค. เพื่อพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบ ประมาณรายจ่ายปี 2565 วาระ 2-3 เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญต้องนำงบประมาณมาบริหารประเทศ โดยตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จใน 105 วัน ที่จะครบกำหนดวันที่ 29 ส.ค. นี้...ส่วนการประชุมสภาฯ หลังพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯเสร็จแล้ว จะนัดประชุมต่อเนื่องทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน คือ วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ จนถึงปิดสมัยประชุมสภาฯ 18 ก.ย.นี้...จบข่าว

“ธนูเทพ”