การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เข้ามาสู่ขั้นวิกฤติที่มีคนติดวันละเป็นหมื่น เสียชีวิตวันละเป็นร้อยคน ข่าวการเข้าไม่ถึงการรักษาจนเสียชีวิตที่บ้าน หรือเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ส่งผลกระทบต่อชีวิตและจิตใจของทุกคนในสังคม ในภาวะที่เรายังมองไม่เห็นแสงปลายอุโมงค์ของความทุกข์ต่อโรคภัยนี้ สิ่งที่จะช่วยพยุงจิตใจให้คนในสังคมลุกขึ้นมาก้าวเดินกันต่อไป คือน้ำใจของคนในสังคม ที่มาพยุง เอื้อมมือมาช่วยเหลือซึ่งกัน และกัน!!

และในความมืดนี้เรายังได้เห็นถึงน้ำใจอันเป็นพลังบวกส่งต่อให้หลายชีวิตได้เดินต่อ และเป็นน้ำที่หล่อเลี้ยงคนทำงานด่านหน้าได้ทำหน้าที่อย่างสุดกำลัง “คุณครูลิลลี่” หรือ กิจมาโนชญ์ โรจนทรัพย์ ครูสอนภาษาไทยชื่อดัง หนึ่งในน้ำใจที่หล่อเลี้ยงคนทำงานจนอ่อนล้าให้มีพลัง ด้วยการนำส่งอาหารที่ทำจากใจด้วยตัวเอง ทุ่มเททั้งกำลังทรัพย์และกำลังกาย ทำต่อเนื่องมา 3 เดือนกว่า

...

โดย คุณครูลิลลี่ เล่าถึงสิ่งที่จุดประกายให้ลุกขึ้นมาทำกิจกรรมบุญปิดทองหลังพระว่า ตนทำแบบนี้มาตั้งแต่เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ปี 2554 โดยมองว่า เราต้องช่วยเหลือกันยามบ้านเมืองเกิดวิกฤติ พอมาถึงวิกฤติโควิด ได้เห็นน้องๆจิตอาสาหรือพวกอาสาสมัครที่มาช่วยขนผู้ป่วยโควิด และผู้ป่วยที่เสียชีวิตคาบ้าน พวกนี้เขาไม่มีเสบียงอาหาร ต้องซื้อกินเอง เลยเปิดครัวช่วยทำอาหารกล่องให้อาสาสมัครเหล่านี้ รวมทั้งส่งให้คุณหมอ คุณพยาบาล เจ้าหน้าที่ที่ทำการตรวจคนไข้ด้วย โดยตนเองมีร้านอาหารชื่อ “ครัวดาวคาวหวาน” และสถานปฏิบัติธรรม บ้านพุฒมณฑา ที่รังสิต คลอง 24 ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน และปิดเพราะโควิด เลยมาเปิดครัว 2 ครัว ทำอาหารกล่องส่งให้ชุมชน บุคลากรทางการแพทย์, จิตอาสา และคนยากไร้ในแถวปริมณฑล นอกจากนี้ ก็ได้แปลงโรงรถที่บ้านแถวประเวศ มาเป็นโรงครัว แห่งที่ 3 ทำอาหารกล่องแจกอีกแรง โดยตนจะคุมและลงมือเองในครัวนี้ ขณะที่ครัว 1-2 ให้ลูกน้องจัดทำเอง โดยตนส่งเงินให้ดำเนินการ

“ทุกวันนี้จะนอนหัวค่ำ 3 ทุ่ม ต้องรีบเข้านอน เพราะต้องตื่นมาตี 3 เพื่อสั่งของจ่ายตลาดทางออนไลน์ เพราะไม่กล้าไปจ่ายตลาดเอง แต่เมื่อก่อนไปซื้อเอง ส่วนอีก 2 ครัวให้เขาจัดการกันเอง เราได้แต่ส่งเงินไป ครูจะมีลูกมือ 4 คนมาช่วยล้าง หั่นเก็บล้าง ส่วนครูจะเป็นคนปรุง เป็นคนจัดแพ็กเกจจิ้ง ซึ่งกว่าจะเสร็จก็เที่ยง คอนเซปต์อาหารของเรา คือเราทำอาหารสวยงาม เหมือนเราทำเลี้ยงพระ เพราะคนเหล่านี้เสมือนกับเป็นผู้ที่เสียสละ เขาเหมือนทัพหน้าที่เสี่ยงตาย ขณะที่เราอยู่สวย ได้นอนหลับ ไม่ต้องไปเหนื่อยแบบเขา จึงเน้นใช้ของดีและให้แบบจุกๆ มีทั้งของคาวและของหวาน เมนูจะไม่ซ้ำ อย่าง ไข่พะโล้ แกงไตปลา หมูฮ้อง ให้เขาได้เปลี่ยนบรรยากาศ ไม่ให้ซ้ำซากจำเจ เรียกว่าเปิดกล่องมา ว้าว! เหมือนร้านอาหารที่ทำขาย ขนมก็เหมือนกัน เราคัดสรร เรามีทั้งโอนีแปะก๊วย ปลากริมไข่เต่า ข้าวเหนียวทุเรียนก็มี ให้คนรับแล้วรู้สึกว่าเราตั้งใจทำ ซึ่งทั้ง 3 ครัว เราทำวันละ 400-600 กล่อง ครัวที่ครูทำอยู่ยืนพื้นวันละ 300 กล่อง ไม่เกิน 400 กล่อง” คุณครูลิลลี่ เล่าถึงชีวิตที่ผ่านมากว่า 90 วัน

ส่วนสิ่งที่กระตุ้นให้ลุกขึ้นทำ คุณครูลิลลี่ บอกว่า ชั่วโมงนี้อะไรช่วยได้ก็ต้องช่วย ใครถนัดอะไรก็ทำแบบนั้น ตนพอทำกับข้าวเป็นก็ช่วยตามถนัด เปิดครัวครั้งนี้ใช้เงินตัวเอง เพราะไม่ได้มีเงินทำบุญเป็นล้านๆ แต่พอมีทักษะ มีแรงก็มาลงมือทำ ซื้อของเองจะรู้ว่าควรประหยัดส่วนไหน พอทำแล้วก็โพสต์ลงเฟซบุ๊ก เพื่อนๆ น้องๆลูกศิษย์เห็นก็มาขอช่วย มีทั้งช่วยสิ่งของ วัตถุดิบ และเงิน แต่ตนไม่ได้เปิด บัญชี นอกจากจะมาหลังไมค์มาขอร่วมกันทำบุญ

...

“ครูมองว่า การที่เรามีที่ยืนในสังคม เพราะคนในสังคมให้มา เมื่อสังคมวิกฤติเราก็ต้องกลับคืนเขา ทำนี่ก็เหนื่อย แต่ก็มีความสุข ขณะทำเราก็ตั้งจิตภาวนา ขอให้เขากินแต่ของดีๆ ตอนนี้อะไรช่วยได้ก็ต้องช่วย บ้านเมืองตอนนี้ เหมือนแพกำลังจะแตก เราต้องช่วยมัดแพ ยึดเอาไว้ เกาะเอาไว้ อย่าให้แพแตก ทุกคนในสังคมก็ช่วยกันได้ อย่างน้อยเป็นการสร้างกำลังใจ เป็นพลังบวก ส่งพลังบวกออกไปจากตัวเรา ตอนนี้ใส่พลังลบไม่ได้หรอก”

อีกหนึ่งพลังบวกที่ออกมาช่วยสังคมโดยไม่หวังผลตอบแทน สรัญนพ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เจ้าของร้านอาหาร ครัวย่าเพลิน ปากซอยพหลโยธิน 18 ที่ยอมเปิดครัวทำอาหารส่งพลังใจให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ โดย คุณแน๊ต–สรัญนพ บอกว่ากิจกรรมนี้เริ่มจากเพื่อน เขารู้จักโรงพยาบาลสนามที่หนองจอก เขามาบอกว่า ทางโรงพยาบาลสนามขาดอาหาร เครื่องดื่มเป็นอย่างมาก เขาเริ่มไปส่ง ด้วยจำนวนความต้องการค่อนข้างเยอะเลยได้เข้ามาช่วย เพราะตนมีร้านอาหาร มีครัวที่ทำได้ ตอนนี้ร้านขายไม่ได้ เลยมาเปิดทำตรงนี้ ตอนแรกก็ควักเงินทุนเอง สักพักก็มีเพื่อน มีญาติ มาร่วมทุนกัน คนไหนมีอะไรก็ช่วยกัน ทำมาเรื่อยๆกว่า 2 อาทิตย์แล้ว ตอนแรกเราทำวันเว้นวัน ตกครั้งละ 200-300 กล่อง แล้วยังมีขนมถุง แต่ตอนนี้ลดเหลือแค่ 2 วันต่ออาทิตย์

...

“ตอนแรกได้ทำไปแจกในชุมชนด้วย โดยจะมีเจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญูมารับไปให้ชุมชนต่างๆ แต่ตอนนี้ได้แต่เอาไปแจกที่โรงพยาบาลสนามที่หนองจอก ตอนนี้เขาขยายศูนย์เป็น 3 ศูนย์แล้ว เพราะคนเยอะมาก จาก 440 ก็ขยายไปอีก 200 อีกศูนย์ร้อยกว่าคน เลยจะไปช่วยตรงนั้นค่อนข้างเยอะ พอไปสัมผัสสถานการณ์จริง รู้ว่าคนด่านหน้า งานเขาหนักมาก เขาเหนื่อยจริงๆ เราอยู่ข้างหลัง ผมจึงมองว่าทางใดที่จะช่วยสังคมได้ควรที่จะช่วย เพราะสังคมตอนนี้ต้องช่วยกัน ถ้าเราไม่ช่วยกัน มันจะลำบาก ถ้าคุณมีกำลังด้านไหนลองมาช่วยดู หรืออย่างมากไม่ต้องออกไปไหนเยอะ เก็บตัวอยู่บ้าน เพราะอย่างน้อยก็เป็นการช่วยเซฟบุคลากรทางการแพทย์ไม่ให้ทำงานหนักขึ้น เพราะตอนนี้เขาทำงานหนักมากครับ”.

...