เมืองในฝันของคุณเป็นอย่างไร? ต้องมีพื้นที่สีเขียวเยอะๆ เต็มไปด้วยพลังงานสะอาดและใช้สอยพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือภาพฝันทั้งหมดของคู่สามีภรรยาสถาปนิกมือรางวัลโลก “หนุ่ย-รติวัฒน์ สุวรรณไตรย์” และ “ปราง-วรรณพร สุวรรณไตรย์” ผู้ก่อตั้งบริษัทสถาปนิกระดับท็อปของเมืองไทย “สถาปนิกโอเพนบอกซ์ และกลุ่มบริษัทโอเพนบอกซ์” ที่ตั้งปณิธานว่าจะใช้วิชาความรู้ที่สั่งสมมา เพื่อสร้างเมืองแห่งอนาคต และจะเป็นคนไทยที่ไปประสบความสำเร็จในเวทีออกแบบระดับโลกให้ได้

ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันใช่ไหมคะ เมืองแห่งอนาคตเกิดขึ้นได้จริงในประเทศไทย
หนุ่ย : ตอนนี้คนหันมาตั้งคำถามกับเมืองมากขึ้น เพราะเกิดไวรัสโควิด-19 และฝุ่น PM 2.5 ทำให้สนใจหาทางแก้ปัญหาในระดับโครงสร้างเมืองมากขึ้น สำหรับเมืองไทย ถ้าทุกคนคาดหวังการแก้ปัญหาในสเกลใหญ่อย่างเดียว เมืองแห่งอนาคตจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ จริงๆแล้วบ้านทุกหลัง, อาคารทุกอาคาร, ถนน, ทางเชื่อม ต้องทำงานรวมกันเป็นเครือข่าย ที่จะต้องร่วมมือกันทุกคนทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ตัวผมเองในฐานะสถาปนิกพร้อมจะทำงาน, สนับสนุน และแบ่งปันความรู้ด้านสถาปัตยกรรม ที่จะช่วยให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการออกแบบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
...
ถือเป็นสถาปนิกรุ่นใหม่ไฟแรงก็จริง แต่คนตัวเล็กๆทำไมกล้าฝันใหญ่ขนาดนี้
หนุ่ย : ผมเกิดต่างจังหวัด ครอบครัวไม่มีใครทำเรื่องดีไซน์ รู้แต่ว่าตอนเป็นเด็กชอบวาดรูป แม่เป็นอาจารย์สอบชิงทุนปริญญาเอกไปเรียนต่อที่แคนาดา พาผมกับน้องชายไปด้วย จากเด็กที่เคยวิ่งเล่นในทุ่ง วันหนึ่งได้ไปใช้ชีวิตอยู่บนตึกสูง ตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามและความเจริญของบ้านเมือง ตรงนี้น่าจะเป็นเหตุผลทำให้ผมสนใจเมืองและตึกสูงมาก ถ้าเมืองได้รับการออกแบบที่ดี ผมเชื่อว่าชีวิตของผู้คนจะมีคุณภาพมากขึ้น ผมชอบตึกสูง ชอบคิดให้บ้านเมืองสวยงาม และทำบ้านให้น่าอยู่ ผมชอบที่คนเห็นอาคารที่เราออกแบบแล้วมีเรื่องเอาไปเล่าต่อ เห็นคนเข้าไปใช้งานแล้วมีความสุข และมีชีวิตดีขึ้นด้วยงานออกแบบของเรา ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะสถาปนิกเป็นวิชาชีพที่สร้างวิถีชีวิตให้ผู้คนด้วยการออกแบบ มาสเตอร์พีซของเราก็คืองานที่ทำให้ชีวิตผู้คนดีขึ้น

อะไรคือกุญแจสำคัญเปิดประตูสู่การสร้างเมืองในฝัน
หนุ่ย : การสร้างเมืองแห่งอนาคตประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ซึ่งผมเรียกรวมกันว่า “SENSE” โดย S แรกมาจาก “space sufficiency” คือการใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ พื้นที่ใช้งานปัจจุบันสามารถทับซ้อนกันได้ มีบ้านอยู่ซ้อนกันเป็นคอนโดมิเนียม ตอนนี้ไม่จำกัดเฉพาะบ้าน แต่สวนก็สามารถซ้อนกันอยู่บนอาคาร ทำให้มีพื้นที่สีเขียวเพิ่มได้ทุกชั้นในอาคารสูง เป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้เมือง ส่วน E ตัวที่สอง คือ “energy” เมืองประหยัดพลังงานแค่ปรับองค์ประกอบบางอย่าง เช่น แผงบังแดดที่ต้องมีอยู่แล้วในอาคารสูง เปลี่ยนเป็นแผงโซลาร์เซลล์บนอาคารที่สามารถผลิตพลังงานได้ หรือกังหันลมใส่ไว้ในช่องที่ลมผ่านเยอะ อาคารก็จะกลายเป็นพื้นที่ผลิตพลังงาน ไม่ใช่ใช้พลังงานอย่างเดียว
ปราง : สำหรับ N ตัวที่สาม หมายถึง “nature” ทุกคนอยากอยู่ใกล้พื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่ง สามารถนำพื้นที่ไม่ใช้งานแล้ว หรือรกร้าง มาใช้ประโยชน์ให้ผู้คน เช่น โครงการ “Hight Line” ในนิวยอร์ก ดูเหมือนสวนที่เป็นเส้นยาวๆ เพราะสร้างบนทางรถไฟเดิม สามารถปลูกต้นไม้ ทำเป็นสวนสาธารณะ คนเดินโดยที่ไม่ต้องลงไปปะปนกับรถยนต์ข้างล่าง ในเมืองไทยก็มีการนำโครงสร้างสะพานใกล้สะพานพุทธมาทำเป็นสวนสาธารณะ ถึงแม้บ้านเรามีพื้นที่สีเขียวไม่มาก แต่สามารถทำเป็นโครงข่ายสีเขียว “กรีน เน็ตเวิร์ก” สร้างเส้นที่เชื่อมโยงกันระหว่างพื้นที่สีเขียวเล็กๆแต่ละแห่ง เพื่อให้เกิดสวนสาธารณะที่ใหญ่ขึ้น
หนุ่ย : S ตัวที่สี่ก็สำคัญ เกี่ยวกับการออกแบบเพื่อเชื่อมโยงกัน หรือ “synchronization” ไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดการมองการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ในมุมมองใหม่ ผู้คนมองหาพื้นที่โล่งมากขึ้น แต่พื้นที่เดิมของเมืองถูกออกแบบให้ใช้อย่างจำกัดที่สุดตามราคาที่ดิน เราสามารถใช้แนวคิดการเชื่อมโยงและแบ่งปันพื้นที่ใช้งาน เช่น ในอาคารสูง เพิ่มพื้นที่ยืนรอลิฟต์ที่แยกกันเป็นสองชั้น หรือสามชั้น โดยใช้ลิฟต์แบบดับเบิลเดสก์ คือลิฟต์นี้ถูกออกแบบเป็นสองชั้นซ้อนในตัวเดียว วิ่งไปด้วยกัน เพื่อลดการใช้พลังงาน แต่ขนถ่ายคนได้เพิ่มเป็นสองเท่า คนสามารถรอลิฟต์แยกกันที่ชั้น 1 หรือ 2 ตามที่กำหนด ไม่แออัดในชั้นเดียว เป็นตัวอย่างของการคิดหาทางแชร์พื้นที่ สุดท้ายคือ E มาจาก “exploration” การค้นหาและใช้นวัตกรรมทางการก่อสร้างใหม่ เช่น ใช้ไทเทเนียมไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสารที่ดูดฝุ่นและควันพิษจากอากาศ เราทดลองกับอาคารขนาด 40,000 ตารางเมตร ถ้าเคลือบรูปด้านอาคารด้วยวัสดุดังกล่าว จะดูดมลพิษเทียบเท่าต้นไม้ 340 ต้น ต้องปลูกบนที่ดินขนาด 1 ไร่
...

กว่าจะเป็นสถาปนิกชื่อดังอย่างทุกวันนี้ต้องวิ่งสู้ฟัดขนาดไหน
หนุ่ย : ตอนผมเรียนจบที่เมืองไทยไม่มีงานเลย เพราะเป็นช่วงเศรษฐกิจลอยตัว ต้องไปทำงานที่สิงคโปร์สามปี ผมจำภาพตัวเองนั่งทำงานโต้รุ่งจนพระอาทิตย์ขึ้น เรียกแท็กซี่กลับอพาร์ตเมนต์อาบน้ำเปลี่ยนชุด แล้วกลับไปประชุมต่อ ทุ่มพลังทุ่มจิตวิญญาณเต็มที่ จนรู้ตัวอีกทีคิดว่าต้องกลับเมืองไทยแล้ว เพราะเก็บประสบการณ์พอแล้ว แทนที่จะไปทำให้คนอื่น น่าจะใช้ความรู้ความสามารถของเราเพื่อพัฒนาประเทศไทย หลังกลับมาอยู่เมืองไทย เราสองคนเปิดบริษัทสร้างผลงานได้ดีมีชื่อเสียงพอควร แต่ปีแรกๆไม่ได้กำไรเลย เพราะมีความรู้น้อยเรื่องธุรกิจ
มีอยู่ช่วงหนึ่งผมกับปรางจึงทิ้งวิถีชีวิตในเมืองไปทำสวนและลองใช้ชีวิตเรียบง่ายพอเพียงที่บ้านเกิด แต่กลับไม่มีความสุขอย่างที่คิด เราถามตัวเองว่าวิถีชีวิตแบบไหนที่อยากเป็นจริงๆ แล้วจะทิ้งงานออกแบบที่รักและถนัด ทิ้งความไว้เนื้อเชื่อใจของลูกค้าเหรอ ก็เลยตัดสินใจกลับมาสู้ใหม่ คราวนี้ได้กำลังใจและคำแนะนำจากผู้ใหญ่หลายท่าน ทำให้มีพลังอีกครั้ง ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เรากลับมาสร้างบริษัทให้เติบโตขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว จนวันนี้ออกไปปักธงไทยสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ ได้ประกาศว่าคนไทยก็มีผลงานจากมืออาชีพที่มีคุณภาพระดับโลก เราได้รางวัลระดับนานาชาติทุกปี เช่น German Design Award, Arcasia และ International Property Awards ทำให้มีโอกาสต่อยอดไปทำงานใหญ่ๆในหลายประเทศ เช่น จีน, สิงคโปร์, ตะวันออกกลาง, คูเวต, บังกลาเทศ และปากีสถาน

ถ้าฝันคนเดียวคงมาไกลไม่ได้ “ปราง” มีส่วนสนับสนุน “พี่หนุ่ย” มากน้อยแค่ไหน
ปราง : ปรางกับพี่หนุ่ยจบสถาปัตย์ จุฬาฯทั้งคู่ พี่หนุ่ยโตกว่าสองปี เรามาสนิทกันตอนไปทำงานที่สิงคโปร์ พอกลับเมืองไทยก็แต่งงานกัน และร่วมกันก่อตั้งบริษัทโอเพนบอกซ์ ตอนนั้นอายุแค่ 25 ไม่มีทุนรอนอะไร แต่คุยกันว่าเราเก็บประสบการณ์จากต่างประเทศมาขนาดนี้ ก็อยากทำงานตามแนวคิดของเราเอง ไม่อยากเป็นลูกน้องใคร ช่วยกันฟันฝ่าทุกอย่างจนมีวันนี้ ตอนที่ออฟฟิศครบรอบ 10 ปี ยังออกหนังสือ “A marriage of Architecture and Landscape” เพราะพี่หนุ่ยเป็นสถาปนิกสายตรง ส่วนปรางเป็นภูมิสถาปนิก งานของพวกเราจะอยู่ด้วยกันเสมอ อาคารและพื้นที่รอบอาคารทั้งหมดรวมมาเป็นหนึ่งเดียว เวลาเราเสนองานลูกค้าจึงได้ภาพที่กลมกลืนเป็นภาพเดียวกัน ทั้งด้านสถาปัตย์และภูมิสถาปนิก ตรงนี้เป็นจุดเเข็งของบริษัทเรา

...

ผลงานชิ้นไหนถือเป็นลูกรักที่ภูมิใจที่สุด
หนุ่ย : ผมรักผลงานทุกชิ้น เพราะทุกชิ้นมีเรื่องราวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบอาคารใหญ่หรือเล็กก็ชอบที่จะคิดให้สนุกในทุกงาน อย่างผลงานล่าสุดที่ออกแบบโครงการโรงแรมและเรสซิเดนซ์ให้ “นายเลิศกรุ๊ป” มีโอกาสได้ร่วมงานกับเครือ AMAN ซึ่งเป็นระดับโลก หรือตอนไปทำงานที่จีนและกลุ่มอาหรับ ก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์เยอะ เรารู้สึกผูกพันกับทุกโปรเจกต์ เช่น ตอนออกแบบ “บ้านหินอ่อน” ให้ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ก็มาจากจุดเริ่มต้นที่เจ้าของบ้านทำโรงงานหินอ่อนมาก่อน จึงตั้งใจเลือกใช้วัสดุที่ลูกค้ารู้สึกภูมิใจและระลึกถึง หรืออย่างผลงานออกแบบโครงการเพลินวาน หัวหิน ก็เอาความฝันและสิ่งประทับใจในวัยเด็กของเจ้าของมาเป็นแรงบันดาลใจ

ความฝันต่อไปที่ต้องพิชิตให้ได้คืออะไร
หนุ่ย : วิกฤติโควิด-19 ทำให้เราเห็นมุมมองใหม่ คนทั่วโลกมองเมืองไทยว่าเป็นประเทศที่คนอยากมาอยู่มากขึ้น เพราะสาธารณสุขเราดี, ธรรมชาติก็สวย และอาหารอร่อย ผมจึงฝันอยากเห็นเมืองไทยเป็นศูนย์กลางด้าน “WELLBEING” ระดับโลก เราอยากมีส่วนในการพัฒนาเรื่องนี้ในทุกด้าน ไม่ใช่แค่เพื่อคนไทย แต่เพื่อคนทั่วโลกได้เข้ามาลงทุนและย้ายเข้ามาอยู่ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นในระยะยาว สิ่งที่สถาปนิกอย่างเราออกแบบได้ ไม่ใช่แค่อาคารบ้านเรือน แต่เราออกแบบวิถีชีวิตของผู้คนได้ด้วย เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ต่อไปเมืองในฝันของเราอาจไม่ใช่แค่เมืองในฝันสำหรับคนไทย แต่อยากให้มองไปไกลว่าเราสามารถสร้างเมืองในฝันของโลกได้ด้วย.
ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ