จากการพบผู้ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคแอนแทรกซ์จำนวน 1 รายในไทยเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับสังคม เนื่องจากเป็นโรคติดต่อที่มีอาการรุนแรงถึงชีวิต ติดเชื้อผ่านทางการสัมผัสหรือรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อดังกล่าว เช่น โค กระบือ แพะ แกะ ซึ่งเป็นสัตว์ที่มักนำมาใช้เป็นอาหาร จึงทำให้เกิดความหวาดกลัว

แอนแทรกซ์คืออะไร

แอนแทรกซ์เป็นโรคสัตว์ติดต่อสู่คนที่มีความรุนแรง สามารถเกิดโรคได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร รวมถึงนกหลายชนิดก็สามารถติดโรคนี้ได้

แอนแทรกซ์เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส แอนทราซิส (Bacillus anthracis) มีลักษณะพิเศษ คือ เมื่อเชื้อสัมผัสกับอากาศภายนอกร่างกายเชื้อจะสร้างสปอร์ห่อหุ้ม จึงมีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถอยู่ในธรรมชาติได้เป็นระยะเวลานาน สามารถอยู่ในดินได้นานกว่า 10-20 ปี จึงมีผลทำให้การกำจัดโรคนี้หมดไปได้ยาก

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

...

ลักษณะของโรคพบได้ 3 ชนิด คือ เป็นแผลที่ปอด เป็นแผลที่ผิวหนัง หรือเป็นแผลที่ทางเดินอาหาร ขึ้นกับช่องทางการติดเชื้อ โดยผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์ทั่วโลกมากกว่าร้อยละ 95 เป็นชนิดแผลที่ผิวหนัง

อาการแอนแทรกซ์

คนที่ติดเชื้อโรคแอนแทรกซ์ จะมีระยะฟักตัวของโรคประมาณ 12 ชั่วโมง ถึง 7 วัน แต่ถ้าเป็นกรณีสูดหายใจเอาสปอร์ของเชื้อจากการใช้เป็นอาวุธชีวภาพ ระยะฟักตัวอาจยาวนานถึง 60 วัน อาการของโรคพบได้ 3 ลักษณะตามวิธีการติดต่อของโรค คือ

1. อาการทางผิวหนัง

โดยเริ่มแรกจะเป็นรอยนูนแดงแล้วกลายเป็นตุ่มใส จากนั้นจะกลายเป็นหนอง เมื่อแตกจะกลายเป็นแผลปกคลุมด้วยเนื้อตายสีดำ ขอบแผลจะนูนเป็นวงโดยรอบ มักเป็นที่มือ แขน ขา และลำคอ หรือใบหน้า ในรายที่รุนแรงมากการอักเสบจะลุกลามไปต่อมน้ำเหลืองเข้าสู่กระแสเลือดและทำให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบได้

2. อาการทางระบบทางเดินอาหาร

หลังจากที่กินอาหารที่มีการปนเปื้อนเชื้อ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดแผลหลุมในทางเดินอาหาร เลือดออก เยื่อเมือกทางเดินอาหารลอกหลุด มีไข้ ท้องเสีย ถ่ายเหลวปนเลือดเก่า อาเจียน ปวดท้องมาก ท้องอืด และมีท้องมาน ตามด้วยอาการช็อกและเสียชีวิต

3. อาการทางระบบทางเดินหายใจ

มีอาการคล้ายโรคหวัด มีไข้ ตัวสั่น ไอ เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก มักเสียชีวิตภายใน 1-2 วัน

แอนแทรกซ์ติดต่ออย่างไร

โรคแอนแทรกซ์ เป็นการติดต่อจากสัตว์สู่คน ผ่านทางผิวหนัง ทางปาก และทางการหายใจ

  1. ทางผิวหนัง : จากการสัมผัสเชื้อผ่านผิวหนังที่มีบาดแผล รอยถลอก หรือรอยขีดข่วน การชำแหละซากสัตว์หรือสัมผัสหนัง ขน เลือดสัตว์ที่เป็นโรค
  2. ทางปาก : ด้วยการกินอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อน โดยเฉพาะอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ
  3. ทางการหายใจ : โดยการหายใจเอาสปอร์ของเชื้อเข้าไป มักพบในคนงานที่ทำงานในโรงงานฟอกหนัง ขนสัตว์ หรือปุ๋ยที่ทำจากกระดูกสัตว์ป่น

แอนแทรกซ์รักษาได้ไหม

ข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่าโรคแอนแทรกซ์สามารถรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ได้แก่ เพนนิซิลลิน ด็อกซีไซคลิน หรือกลุ่มควิโนโลน นอกจากนี้ ยังมียาที่ต้านพิษที่สร้างจากเชื้อและเป็นยาปฏิชีวนะด้วย คือ คลินดาไมซิน ลิเนโซลิด

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

บางรายอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะหลายขนาน หากมีอาการรุนแรง เช่น ถ้าติดเชื้อในเยื่อหุ้มสมอง ต้องใช้ยาอย่างน้อย 3 ตัว คือ โมโนโคลนอลแอนติบอดี (monoclonal antibody) และอิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ที่จำเพาะกับเชื้อก็มีการนำมาใช้ด้วย

ผู้ป่วยบางรายแม้ว่าจะฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้แล้ว แต่พิษจากเชื้ออาจยังมีผลรุนแรงที่ต้องนอนในหอผู้ป่วยวิกฤติ หรือต้องใส่ท่อช่วยหายใจ

วิธีป้องกันแอนแทรกซ์

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่ป่วย รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากสัตว์ต่างๆ เช่น ของชำร่วยจากขนหรือหนังสัตว์
  • งดการกินน้ำหรือนมที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อหรืออาจมีการปนเปื้อน
  • งดกินเนื้อสัตว์ที่อาจมีเชื้อโดยเฉพาะเนื้อดิบหรือกึ่งสุกดิบ
  • ผู้ที่สัมผัสเชื้อแล้ว แต่ยังไม่มีอาการ แนะนำให้กินยาป้องกันหลังสัมผัส (Post exposure prophylaxis; PEP) โดยต้องกินยาปฏิชีวนะด็อกซีไซคลิน หรือกลุ่มควิโนโลน นานถึง 60 วัน

...

นอกจากนี้ยังมีการฉีดวัคซีนแอนแทรกซ์ ซึ่งเดิมมีให้ใช้ได้เฉพาะบางกลุ่มที่มีความเสี่ยง เช่น ในค่ายทหาร หรือในห้องปฏิบัติการ แต่ต่อมามีการขยายการใช้ในผู้ที่สัมผัสเชื้อที่สงสัยว่าเป็น หรือมีอาการแสดง และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคแล้ว

ข้อมูลอ้างอิง :  กรมปศุสัตว, สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย