พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา กรรมการแพทยสภา ได้มาให้ข้อมูลของประเทศไทย สืบเนื่องจากรายงานการวิเคราะห์เรื่องประสิทธิภาพการใช้จ่ายในบริการด้านสุขภาพของนานาประเทศทั่วโลก

ซึ่งเผยแพร่ในวันที่ 19 กันยายน 2561 ของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก (และใช้ข้อมูลการวิเคราะห์ในปี ค.ศ.2015) โดยได้รายงานว่า ประเทศไทยมีการพัฒนาประสิทธิภาพการใช้จ่ายในการให้บริการสุขภาพดีขึ้นจากลำดับเดิมเมื่อปีที่แล้ว มากกว่าประเทศอื่นๆทั้งหมด (รายงาน 56 ประเทศ) จากการอ่านรายงานนี้ อาจทำให้ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีแนวคิดที่ได้เคยกล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่สามารถใช้งบประมาณต่ำที่สุด ในการดูแลสุขภาพประชาชนได้มากที่สุด

แต่ถ้าเรามาดูจากรายงานของบลูมเบิร์กข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่อหัวหรือต่อคนไทยหนึ่งคน คือ 219 ดอลลาร์ ถ้าคิดอัตราแลกเปลี่ยนวันนี้ 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 32 บาท ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพคนไทยเฉลี่ยต่อคนต่อปีจะประมาณ 7,000 บาท

ซึ่งค่าใช้จ่ายในระบบประกันสุขภาพภาครัฐของไทย 3 ระบบ คือระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีค่าเหมาจ่ายรายหัวเท่ากับ 2,895 บาท ประกันสังคม 2,575 บาท ข้าราชการ 12,000 บาท (ข้อมูลของปี พ.ศ.2558 ตามปีในการวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก) จะพบว่า ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยของ 3 ระบบนี้ เท่ากับ 5,830 บาทต่อคนต่อปีเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่านอกจากระบบสวัสดิการข้าราชการจะช่วยเพิ่มอัตราค่าใช้จ่ายรายหัวในระบบหลักประกันสุขภาพและ/หรือระบบประกันสังคมแล้ว (ทำให้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวใน 3 ระบบ เท่ากับ 5,830 บาทต่อหัวแล้ว ก็ยังมีค่าใช้จ่ายจากแหล่งอื่นมาเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัวในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และระบบประกันสังคม นอกเหนือจากระบบสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งน่าจะเป็นจากระบบประกันสุขภาพเอกชน หรือการจ่ายเงินเอง) มาเพิ่มอีก 1,170 บาทต่อคนต่อปี ทำให้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็น 7,000 บาทต่อคนต่อปี

...

แต่ทั้งๆที่มีเงินจากระบบประกันสุขภาพอื่นมาเพิ่มค่าเฉลี่ยรายหัวให้แก่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แต่ก็ยังพบว่าโรงพยาบาลที่รับรักษาผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประสบปัญหาการขาดเงินทุนในการให้บริการแก่ผู้ป่วยตลอดมา ซึ่งเป็นข่าวปรากฏในสื่อมวลชนอยู่เนืองๆ และเป็นข่าวที่โรงพยาบาลต่างๆต้องพยายามหารายได้พิเศษจากทางอื่นมาจุนเจืองบประมาณที่ขาดแคลนนี้ ฉะนั้น ตามความเป็นจริงแล้ว ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชนไทยที่ดูแล้วต่ำที่สุดตามรายงานของบลูมเบิร์กนี้ เกิดจากการที่ประเทศไทยใช้จ่ายเงินอย่างมีประสิทธิภาพจริงหรือไม่? (ประสิทธิภาพการใช้จ่ายน้อยที่สุด เพื่อครอบคลุมประชาชนให้ได้มากที่สุด)

หรือเกิดจากการที่หน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนในระบบบริการภาครัฐ ต้องจำยอมเป็นผู้แบกรับภาระการขาดทุนแทนหน่วยงาน

การประกันสุขภาพ เช่น ระบบ 30 บาท ประกันสังคม โดยมีระบบสวัสดิการข้าราชการเป็นผู้จ่ายเงินส่วนเกินแทนระบบอื่นๆ และ/หรือยังมีประชาชนที่ใช้บริการเอกชน เป็นผู้จ่ายเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าเฉลี่ยต่อหัวประชาชนเพิ่มขึ้นถึง 7,000 บาทต่อคนต่อปี

การวิเคราะห์เรื่องประสิทธิภาพของการใช้จ่ายงบประมาณในการบริการสุขภาพของบลูมเบิร์กนี้ อาจจะทำให้ผู้บริหารระบบบริการสุขภาพภูมิอกภูมิใจ

แต่ในรายงานนี้ ก็ให้ความสนใจเฉพาะในเรื่องการเงินเท่านั้น ไม่ได้ลงรายละเอียดว่า งบประมาณที่ใช้จ่ายไปนั้นมีประสิทธิผลสูงสุดด้วยหรือไม่? กล่าวคือ มีผลลัพธ์การรักษาที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานในระดับสากลที่มีการรับรองคุณภาพได้จริงกี่เปอร์เซ็นต์ มีการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการบริการสุขภาพให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือว่าคุณภาพมาตรฐานถดถอยจนมีการฟ้องร้อง/ร้องเรียนผู้ให้การบริการมากขึ้นหรือไม่ และมีการโยกย้ายเงินจากระบบหนึ่งไปยังอีกระบบหนึ่งมากน้อยเพียงใด

ความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ประชาชนทั่วไปอาจจะยังไม่ได้รับรู้รับทราบก็คือ ค่าจ้างและเงินเดือนของบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศไทยมีอัตราต่ำมาก (ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทยต่ำที่สุดในโลก) เมื่อเปรียบเทียบค่าจ้างและเงินเดือนของบุคลากรทางการแพทย์ไทยกับอัตราค่าจ้างของบุคลากรทางการแพทย์ของประเทศอื่นๆ รวมทั้งประเทศอังกฤษ ต้นแบบของการประกันสุขภาพถ้วนหน้า (งบประมาณเงินเดือนบุคลากรทางการแพทย์ส่วนหนึ่งถูกรวมไว้ในงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ)

...

นอกจากนั้นภาระงานและความรับผิดชอบของบุคลากรทางการแพทย์ก็จะสูงมาก กล่าวคือแพทย์ต้องทำงานดูแลรักษาผู้ป่วยในเวลาต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 16 ชั่วโมง (ยาวนานถึง 24 หรือ 32 ชั่วโมง) โดยไม่ได้หยุดพักผ่อนนอนหลับ ซึ่งจะทำให้บุคลากรมีความเหนื่อยล้า และมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความผิดพลาด ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสูญเสีย คือความตายหรือพิการของผู้ป่วยตามมา

และภาระงานที่มากมายมหาศาลที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องแบกรับนี้ นอกจากจะมีผลเสียหายต่อคุณภาพในการให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยแล้ว ยังปรากฏว่า หน่วยราชการบางแห่งไม่มีงบประมาณเพื่อจ่ายค่าทำงานล่วงเวลาของบุคลากรเหล่านั้นเป็นเวลาหลายๆเดือน (พบว่าโรงพยาบาลบางแห่งติดค้างค่าทำงานนอกเวลาราชการยาวนานหลายเดือน บางแห่งไม่ได้จ่ายเงินเป็นเวลามากกว่า 2 ปีก็มี) ประสิทธิภาพในการบริหารงบประมาณที่ดีขึ้นตามรายงานนี้ จึงไม่ใช่ดัชนีชี้วัดความสำเร็จในการบริการสุขภาพ ซึ่งนอกจากปัญหาที่กล่าวมาแล้วก็ยังมีคำถามว่า ถึงแม้ว่าประเทศไทยสามารถทำให้ค่าเฉลี่ยอายุขัยของประชาชนเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้มีข้อมูลเชิงลึกว่าประชาชนที่มีอายุยืนยาวขึ้นนี้ ส่วนมากจะเป็นผู้มีสุขภาพดีหรือไม่? หรือประชาชนผู้สูงวัยเหล่านี้ ยังมีอัตราการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังเพิ่มมากขึ้น จนต้องพึ่งพาระบบบริการสุขภาพเพิ่มขึ้น มีผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงมากขึ้น จนเป็นที่มาของการจัดตั้งโครงการหมอครอบครัว และเพิ่มงบประมาณในการดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงเพิ่มขึ้น?

...

จึงมีข้อเสนอว่า การมีประสิทธิภาพการบริหารงบประมาณที่ดีนั้น ควรจะต้องทำให้สุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนและบุคลากรที่ทำงานในระบบบริการสุขภาพดีขึ้นด้วย ไม่ใช่ให้ความสนใจแต่การใช้จ่ายเงินน้อยๆเท่านั้น.

เอกสารอ้างอิง
https://www.bloomberg.com/news/articles/2018-09-19/u-s-near-bottom-of-health-index-hong-kong-and-singapore-at-top

หมอดื้อ

ประสิทธิภาพในการบริหารงบประมาณ ในระบบบริการสุขภาพ (ตอนที่ 1)