11 พฤษภาคมของทุกปี หรือวันปรีดี ถือเป็นวันสำคัญที่ตรงกับวันเกิดของนายปรีดี นักกฎหมายคนสำคัญของประเทศไทย ที่ร่วมขบวนการเสรีไทยและคณะราษฎร เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ประชาธิปไตยในปี พ.ศ.2475 นายปรีดีถูกยกให้เป็นรัฐบุรุษอาวุโส และเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองที่สำคัญ แต่ใครกันจะล่วงรู้ชีวิตของนายปรีดีได้ดีกว่าคู่ชีวิต วันนี้ไทยรัฐออนไลน์ได้พูดคุยกับ “นรุตม์” นามปากกาของผู้เขียนชีวประวัติของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ อดีตสตรีหมายเลข 1 ผู้ซึ่งต้องดูแลบุคคลสำคัญของชาติและครอบครัว
รู้จักนายปรีดีผ่านบันทึกท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
“เตรเบียง (Très bien) ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า เยี่ยม ยอดเยี่ยม เป็นคำพูดที่ท่านผู้หญิงพูดกับผมทุกครั้งเมื่อตรวจต้นฉบับ” นรุตม์เล่า น้อยคนที่จะได้สัมผัสกับบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อย่างใกล้ชิด
...
“ผมจำรายละเอียดทุกครั้งที่เข้าไปพบท่านได้ดี อยากจะให้ลองนึกถึงว่าสมัยก่อน โทรศัพท์ไม่ได้สะดวกขนาดนี้ การโทรและนัดหมาย ก็ต้องโทรและเดินทางในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะขณะนั้นท่านก็อายุ 80 ปีแล้ว ทางลูกหลานเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของท่าน
ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภรรยาของนายปรีดี ในช่วงที่ท่านเดินทางกลับมาอยู่ในประเทศไทย ขณะนั้นผมอายุ 25 ปี รู้สึกประหม่าและตื่นเต้น ก่อนจะเข้าไปพูดคุย จะต้องทำการบ้าน อ่านหนังสือ และศึกษาเรื่องราวของแต่ละท่านให้มาก
ในหลายครั้งที่ผมได้มีโอกาสพบเจอบุคคลสำคัญ บางคนที่ผมเข้าไปสัมภาษณ์เพื่อมาเขียนชีวประวัติ เขาก็พูดกับผมแบบติดตลกว่า เธอเป็นใครกันนะ ทำไมฉันต้องเล่าเรื่องของฉันให้เธอฟัง”
ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เป็นบุตรสาวของพระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนแรกของไทย เกิดในสกุล ณ ป้อมเพชร์ ท่านผู้หญิงกับนายปรีดีมีศักดิ์เป็นญาติกันห่างๆ โดยมีเทียดเดียวกัน นายปรีดีเมื่อวัยหนุ่มได้มาเรียนและศึกษาต่อที่กรุงเทพมหานคร พักอยู่บ้าน ณ ป้อมเพชร์ ย่านคลองสาน พระนคร โดยมีบิดาของท่านผู้หญิงเป็นผู้ดูแลอยู่ช่วงหนึ่ง
ขณะที่นายปรีดีอาศัยอยู่ในบ้าน ณ ป้อมเพชร์ ก็ถูกใจกับบุตรสาวคนที่ 5 ของพระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา และได้พาบิดาจากอยุธยามาสู่ขอ ขณะนั้นท่านผู้หญิงพูนศุขมีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น ต้องลาออกจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ชั้นมัธยม 7 เพื่อมาแต่งงาน
สมัยนั้นผู้หญิงแต่งงานในอายุยังน้อย ท่านผู้หญิงบันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตการแต่งงานของท่านไว้ว่า
“ชีวิตของการแต่งงานในระยะแรกนั้น ดิฉันคิดเพียงว่า จะต้องมาทำหน้าที่เป็นแม่บ้านของข้าราชการธรรมดาสามัญคนหนึ่ง ที่มีความก้าวหน้าในตำแหน่งตามจังหวะและโอกาส มีความเป็นอยู่ที่สุขสงบไปตามประสา แต่เมื่อทางเดินของชีวิตนั้นพลิกผันเกินกว่าที่คาดคิดไว้ นั่นก็มีอยู่ทางเดียว คือ ต้องยอมรับและเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ฟันฝ่ากับอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิตคู่ของเราทั้งสอง ด้วยความเข้มแข็งและอดทนไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม”
...
นายปรีดีไม่ใช่นักเรียนกฎหมายที่สอบเนติบัณฑิต แล้วได้เติบโตตามราชการอย่างที่เธอคิด เขาได้รับทุนการศึกษาเพื่อไปเรียนกฎหมายในประเทศฝรั่งเศส เขาเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับนักเรียนไทยหลายคน
เมื่อแต่งงานแล้วก็ย้ายบ้านมาอยู่ย่านถนนสีลม ระหว่างนั้นชีวิตก็พลิกผัน ครอบครัวไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองของประเทศอยู่หลายครั้ง และกลายเป็นเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ นั่นก็คือ การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สู่ประชาธิปไตย
ท่านผู้หญิงเล่าว่า ความต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เรียกร้องให้พระมหากษัตริย์มอบประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนนั้น เคยเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว โดยคุณปู่ของเธอเอง ก็เป็นหนึ่งในผู้ลงนามขอให้พระพุทธเจ้าหลวงพระราชทานประชาธิปไตย แต่ครั้งนั้นทรงตรัสว่า ประเทศไทยยังไม่พร้อม
...
24 มิถุนายน 2475 นายปรีดีร่วมก่อการกับคณะราษฎร คนในบ้าน ณ ป้อมเพชร์ ไม่รู้เห็นเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย ท่านผู้หญิงเล่าไว้ในบันทึกว่า
“คณะราษฎร บุกคุมตัวพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่หลายพระองค์จากวังที่ประทับ ไปควบคุมไว้ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม ขณะที่ในหลวงรัชกาลที่ 7 เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน คณะผู้ก่อการนี้ประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ทรงพระราชอำนาจในประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแทน”
“จนถึงวันที่ 3 กรกฎาคม นายปรีดีจึงมีจดหมายมาขอโทษที่ต้องปิดความจริง ด้วยเกรงว่าหากบอกความจริงทุกอย่างแล้วจะเป็นอันตรายในการทำการ เนื่องจากดิฉันอายุยังน้อย กลัวว่าจะไม่รักษาความลับ อาจจะเกิดการพลาดพลั้งได้ และทางบ้านป้อมเพชร์ ก็มีความใกล้ชิดกับพระราชวงศ์อยู่หลายพระองค์
ในครั้งนั้นพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมการราษฎรเป็นคนแรก ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน และได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการผู้แทนราษฎรคนแรก ภายหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรกในวันที่ 10 ธันวาคม 2475 พระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศสยาม
ในช่วงแรกสถานที่ปฏิบัติการของคณะราษฎร อยู่ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม และย้ายมาที่วังปารุสกวัน เพื่อสะดวกต่อการคุ้มกันอารักขา โดยมี 4 ทหารเสือ อยู่ด้วย ได้แก่ พระยาพหลพลพยุหเสนา, พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน), พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) และพระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น)
เค้าโครงสมุดปกเหลืองที่นายปรีดีรับมอบหมายจากรัฐบาลให้ร่างขึ้น รัฐมนตรีบางคนไม่เห็นชอบ ทำให้วันที่ 1 เมษายน 2476 ต้องปิดสภาผู้แทนราษฎร งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา และให้คณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นฝ่ายบริหารมีอำนานในการบัญญัติกฎหมาย และรัฐบาลตรา พระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2476 ออกแถลงการณ์ว่า นายปรีดี เป็นคอมมิวนิสต์ และบังคับให้นายปรีดีและภรรยา ออกเดินทางจากประเทศไทยไปดูการเศรษฐกิจที่ประเทศฝรั่งเศส
...
11 ตุลาคม พ.ศ.2476 เกิดการสู้รบในพระนคร 5 วัน กบฏบวรเดชถอยร่นกลับไปโคราช และจับกุมตัวผู้เกี่ยวข้อง 300 คน รวมถึงเชื้อพระวงศ์และข้าราชการในพระราชสำนักไปขังที่ตะรุเตา
เหตุการณ์บ้านเมืองในตอนนั้น ดูภายนอกมีทีท่าว่าแจ่มใส เพราะมีการเลือกตั้งซึ่งถือว่าเป็นลักษณะสำคัญของประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแล้ว แต่ภายในนั้นกลับสั่งสมระอุไปด้วยความขัดแย้งและแรงกดดันต่างๆ จนน่ากลัว น้อยคนนักที่จะทราบถึงความเป็นไป..”
ในหลวงรัชกาลที่ 7 เสด็จประพาสอังกฤษ เพื่อรักษาพระเนตรในปี พ.ศ.2476 เมื่อทรงสละราชสมบัติในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2477 คณะสภาผู้แทนราษฎร อัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ต่อไป
ต่อมารัฐบาลนายพหลฯ เห็นชอบให้นายปรีดี เป็นผู้ร่าง พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง สภาผู้แทนแต่งตั้งให้นายปรีดีเป็นผู้ประศาสน์การคนแรก ในวันที่ 27 มิถุนายน 2477 ที่บริเวณโรงเรียนกฎหมายเดิม
เส้นทางการเมืองของนายปรีดีกับบทบาทรัฐมนตรี
สิงหาคม 2478 นายปรีดีดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายให้เดินทางไปกรุงลอนดอน เพื่อเจรจาดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารอังกฤษ เพื่อใช้ก่อสร้างสาธารณูปโภคในประเทศไทย จากร้อยละ 6 เป็นร้อยละ 4 ต่อปี ซึ่งเป็นเงินที่กู้มาสมัยรัชกาลที่ 6 ทำให้ประเทศไทยได้ลดค่าใช้จ่ายลงมาก และนายปรีดีได้เดินทางไปหลายประเทศ เพื่อขอเจรจาเลิกสัญญาที่ไม่เสมอภาคต่างๆ กับประเทศในยุโรป และข้ามไปยังสหรัฐอเมริกา มหาสมุทรแปซิฟิก และญี่ปุ่น รวม 6 เดือน
ระหว่างนั้นท่านผู้หญิงพูนศุข เดินทางไปพบนายปรีดีที่ประเทศญี่ปุ่น ใช้เวลา 12 วัน และเดินทางกลับเข้าประเทศไทยด้วยรถไฟ และในปี 2480 นายปรีดีได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศอีกตำแหน่งหนึ่ง
การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ทำให้นายปรีดีและภรรยาได้พบกับในหลวงรัชกาลที่ 8 ที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นครั้งแรก
เมื่อผ่านการเลือกตั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2480 ในหลวงรัชกาลที่ 8 เสด็จนิวัติประเทศไทย และได้เสด็จฯ ออก ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และได้พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ชั้น 1 อ.ป.ร. แก่คุณหญิงพหลพยุหเสนา, นางพิบูลสงคราม และนางประดิษฐ์มนูธรรม (ท่านผู้หญิงพูนศุข) ภายหลังการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรีคือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม และสภาเห็นชอบให้นายปรีดี ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
พ.ศ.2482 เกิดเหตุการณ์ที่คนไทยต้องต่อสู้กันเองอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลจับกุมนายทหาร ชาวบ้าน และราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่กว่า 50 คน ผู้คิดเปลี่ยนแปลงการปกครองกลับไปเป็นระบอบเดิม พิจารณาผ่าน “ศาลพิเศษ” นักโทษการเมืองบางคนถูกเนรเทศ ประหารชีวิต หรือส่งไปสมทบกับกบฏบวรเดชที่ตะรุเตา
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ประเทศไทยใกล้ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลออกนโยบายสำคัญ 12 ฉบับ เพื่อให้ประชาชนได้เตรียมตัวต่อภัยคุกคามจากสงคราม
วันก่อสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2482 รัฐบาลเปลี่ยนชื่อประเทศสยาม เป็น “ประเทศไทย” และได้วางศิลาฤกษ์อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ถนนราชดำเนิน
งานวันเฉลิมพระชนมพรรษาของในหลวงรัชกาลที่ 8 วันที่ 20 กันยายน 2482 ทรงพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นจุลจอมเกล้าฝ่ายใน นางประดิษฐ์มนูธรรมจึงได้กลายเป็น ท่านผู้หญิงพูนศุข
7 ธันวาคม 2484 งานฉลองรัฐธรรมนูญ ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ปัตตานี และอีก 7 จุดในภาคใต้ เพื่อขอให้ไทยเป็นทางผ่านไปยังพม่าและมลายู ไทยก็เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย รัฐบาลไทยทำสัญญาทางการทหารร่วมกับญี่ปุ่น ปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ไร้ชื่อนายปรีดีร่วมรัฐบาล
25 มกราคม 2485 รัฐบาลไทยประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา เรียกสงครามมหาเอเชียบูรพา ครอบครัวของนายปรีดีย้ายมาอยู่บ้านคลองหลอด ถนนพระอาทิตย์ โดยรัฐบาลจัดให้เป็นที่พำนักผู้สำเร็จราชการ เพื่อสะดวกต้อนรับแขก
ท่านผู้หญิงพูนศุขเล่าในบันทึกว่า ภายหลังที่นายปรีดีได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ ก็มีงานหนักมากขึ้น ไม่ใช่แค่งานในราชการ แต่เป็น “งานใต้ดิน” ซึ่งหมายถึง การรวบรวมผู้รักชาติที่เห็นตรงกัน ช่วยกันหาทางต่อต้านผู้รุกราน เรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า “เสรีไทย” โดยกองบัญชาการอยู่ที่ศาลาน้ำที่ทำเนียบ
มาลานำไทย ทุกคนต้องใส่หมวก ผู้หญิงต้องนุ่งซิ่น
หากยังจำบทเรียนวิชาประวัติศาสตร์ได้ มีบันทึกว่าช่วงหนึ่งในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ดำเนินนโยบาย “มาลานำไทย” ให้คนไทยได้สวมหมวก เพื่อแสดงถึงความเป็นอารยประเทศ และให้ผู้หญิงนุ่งกระโปรง เพื่อแสดงถึงความมีวัฒนธรรม ซึ่งขัดกับความคุ้นชินของผู้คนในยุคนั้น และส่งเสริมให้มีการละเล่น รำวง หรือไปเล่นกีฬาตามสถานที่ต่างๆ
ยุคสมัยแห่งสงคราม ผู้คนในพระนครขุดหลุมหลบภัย และปี พ.ศ.2485 เกิดน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพมหานคร จนรถยนต์วิ่งไม่ได้ ทำให้ขาดแคลนข้าวของและยารักษาโรค
ภายหลังนายปรีดีได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่ คุ้มขุนแผน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเมื่อครั้งสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าในรัชกาลที่ 8 และ 9 ย้ายมาประทับที่โรงพยาบาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3 เดือน ครอบครัวนายปรีดี ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็มาถวายการรับใช้ด้วย
พ.ศ.2487 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะสภาไม่ผ่านร่าง พ.ร.บ.เรื่องการสร้างเมืองหลวงสำรองที่จังหวัดเพชรบูรณ์ และ พ.ร.บ.สร้างพุทธบุรีในนครปฐม เป็นการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดย นายควง อภัยวงศ์ และนายปรีดีได้รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพียงผู้เดียว
พ.ศ.2488 ประเทศไทยถูกระเบิดอย่างหนัก ทั้งกลางวันและกลางคืน ผู้คนส่วนใหญ่อพยพไปอยู่ชานเมือง ขบวนการเสรีได้ติดต่อกับสัมพันธมิตร แจ้งอย่าให้ทิ้งระเบิดบริเวณสำคัญของบ้านเมือง เช่น พระบรมราชวัง พระราชวังบางปะอิน
วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2488 เสียงประกาศจากวิทยุโดยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ตอนหนึ่ง กล่าวว่า
“ประชาชนชาวไทยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งอยู่ในฐานะที่ช่วยเหลือสนับสนุนสหประชาชาติ ผู้ที่จะให้มีสันติภาพในโลกนี้ ได้กระทำการทุกวิถีทางที่จะช่วยเหลือสหประชาชาติ ดังที่สหประชาชาติส่วนมากทราบอยู่แล้ว ทั้งนี้ เป็นการแสดงเจตจำนงของประชาชนชาวไทยอีกครั้งหนึ่ง ที่ไม่เห็นด้วยต่อการประกาศสงคราม จึงขอประกาศโดยเปิดเผยแทนประชาชนชาวไทยว่า การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่เป็นโมฆะ..”
ทำให้ประเทศไทยไม่ต้องอยู่ในกลุ่มประเทศผู้พ่ายแพ้สงคราม
นายควงลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เปิดโอกาสให้ นายทวี บุณยเกตุ เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีชั่วคราว 17 วัน เพื่อรอ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเป็นผู้นำเสรีไทยในสหรัฐอเมริกา มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมตรีต่อไป
ภายหลังจัดตั้งรัฐบาล ก็ได้มีพระราชบัญญัติจับกุมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกาศสงคราม 13 คน มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม รวมอยู่ด้วย ในปีเดียวกันนั้นเอง ในหลวงรัชกาลที่ 8 เสด็จนิวัติกลับประเทศไทย ทางรัฐบาลจึงถวายพระราชอำนาจคืนแก่พระองค์ เนื่องจากบรรลุนิติภาวะแล้ว
คืนพระราชอำนาจแก่รัชกาลที่ 8
หน้าที่ของนายปรีดี ในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จึงสิ้นสุดลง หลังจากกราบบังคมทูลถวายพระราชอำนาจคืนตามพระราชประเพณี โดยได้รับตำแหน่งรัฐบุรุษอาวุโส
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ 3 เดือน ก็มีการเลือกตั้งใหม่ในปี พ.ศ.2489 ทำให้ศาลฎีกายกฟ้อง พ.ร.บ.อาชญากรสงคราม นักโทษทางการเมืองจึงได้รับการปล่อยตัว นายควง อภัยวงศ์ กลับเข้ามารับตำแหน่งนายกฯ ต่อได้เดือนเศษก็ลาออก สภามีมติให้นายปรีดีเข้ารับตำแหน่งนายกฯ สืบแทน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 7 ของประเทศไทย
ในบันทึกของท่านผู้หญิงพูนศุขได้กล่าวว่า ส่วนตัวนั้น “ไม่เห็นด้วย” กับการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายปรีดี และเป็นเรื่องของนายปรีดีที่ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง
9 มิถุนายน 2489 มีเสียงปืนดังจากพระที่นั่ง ช่วงเย็นมีประกาศจากสำนักพระราชวังแถลงทางวิทยุว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตด้วยต้องพระแสงปืน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน แต่ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน
7 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 หลวงอดุลเดชจรัส ได้มาส่งข่าวที่บ้านทำเนียบท่าช้าง ว่ามีคนคิดจะทำรัฐประหาร ในขณะนั้นราวเที่ยงคืน ท่านผู้หญิงตื่นมาไม่พบสามีอยู่ในบ้าน และมีเสียงทหารยิงปืนเข้ามาในบ้าน
“ที่นี่มีแต่เด็กกับผู้หญิง..อย่ายิง..!”
ทหารราว 4-5 คน บุกเข้ามาในบ้าน ท่านผู้หญิงตะโกนบอกคนข้างนอก
“ที่มานี่ เราจะมาเปลี่ยนรัฐบาล” ทหารคนหนึ่งพูด
“ทำไมมาเปลี่ยนที่นี่ ทำไมไม่เปลี่ยนกันที่สภาเล่า” ท่านผู้หญิงย้อนถาม
ทหารทั้งหมดมาค้นบ้าน แต่ไม่พบนายปรีดี จึงกลับไป ราวตีสี่ หลวงอดุลได้กลับมาอีกครั้ง และแจ้งข่าวว่าได้จัดการเรียบร้อยแล้ว
คณะรัฐประหารเข้ายึดอำนาจ เชิญจอมพล ป.พิบูลสงคราม มาเป็นหัวหน้าคณะ ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2489
การรัฐประหารครั้งนั้น นายปรีดีได้รับการช่วยเหลือจากทหารเรือ และเพื่อนเสรีไทย เขาหลบหนีออกนอกประเทศสำเร็จ และกลุ่มมิตรสหายตกลงกันว่า จะไม่ต่อต้านคณะรัฐประหาร
นายปรีดีกลับเข้ามาในประเทศอีกครั้ง ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2492 เพื่อจะล้มล้างรัฐบาล ที่ตอนนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี นายปรีดีกับคณะเรียกตนเองว่า “ขบวนการประชาธิปไตย” แม้ว่าภรรยาจะไม่เห็นด้วยกับการก่อการในครั้งนี้ เพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต นายปรีดีก็ยังคงดำเนินการ โดยเข้าไปทางป้อมประตูวิเศษไชยศรี แต่รัฐบาลควบคุมสถานการณ์ได้ นายปรีดีกับพรรคพวกหลบหนีการจับกุมออกมาได้
6 สิงหาคม พ.ศ.2492 เป็นวันที่นายปรีดีต้องจากผืนแผ่นดินไทยไปชั่วชีวิต โดยท่านผู้หญิงเป็นผู้วางแผนให้นายปรีดีหลบหนีปลอมตัวเป็นชาวประมงไปกับเรือประมงขนาดเล็ก เลียบไปจนถึงสิงคโปร์ และเป็นการเดินทางที่ไม่ได้กลับมายังประเทศไทยอีก
24 มิถุนายน พ.ศ.2494 ทหารเรือกลุ่มหนึ่งเรียกตัวเองว่า “กลุ่มกู้ชาติ” เข้าจี้จับตัวจอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่ไม่สำเร็จ
10 พฤศจิกายน พ.ศ.2495 รัฐบาลจับกุมกลุ่มคนต่างๆ ทั้งนักหนังสือพิมพ์ นักศึกษา ด้วยข้อหา “รวมตัวกันยุยง ก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง อันเป็นความผิดฐานกบฏภายในราชอาณาจักร” หรือเรียกว่า กบฏเสรีภาพ ท่านผู้หญิงพูนศุขก็ถูกจับกุมตัวเป็นเวลา 84 วัน แต่ศาลไม่รับฟ้อง เมื่อได้รับการปล่อยตัวในเดือนกุมภาพันธ์ปีต่อมา จึงตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศ
แม้ว่าขบวนการประชาธิปไตยจะพ่ายแพ้ นายปรีดีต้องอพยพไปยังต่างประเทศ และถูกใส่ความว่า สมคบการปลงพระชนม์ในหลวงรัชกาลที่ 8 แต่ด้วยความเป็นเลือดนักกฎหมาย ทำให้เขาต่อสู้เพื่อปกป้องความถูกต้อง เขาฟ้องผู้ใส่ร้ายต่อศาลไทย และจำเลยที่กล่าวหาก็ต้องยอมประกาศขอขมา
นายปรีดี พนมยงค์ แม้ว่าต้องอพยพลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ และได้ไปพำนักอยู่ ณ ประเทศฝรั่งเศส จนถึงบั้นปลายของชีวิต งานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่เคยสร้างไว้ก็มีผู้สานต่อ ส่วนเรื่องศักดิ์ศรีและความถูกต้อง อย่างเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าลอบปลงพระชนม์ในหลวง ร.8 นายปรีดีก็ได้ฟ้องร้องแก่หนังสือพิมพ์ คอลัมนิสต์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
แม้กระทั่งเงินบำนาญที่ควรได้ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งทางราชการ ก็ต้องฟ้องร้องมากว่าจะได้คืน เพราะเป็นสิทธิ์ที่ควรได้ และนำมาเป็นเงินจุนเจือครอบครัวและดูแลบุตรธิดาอีกหลายคน
เรื่องราวชีวิตของนายปรีดี พนมยงค์ เป็นไทม์ไลน์ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของไทย ความเป็นนักกฎหมายและรอบรู้ ทำให้ตัวเขารอดพ้นจากคำกล่าวและภยันตรายจากผู้ไม่ประสงค์ดี รวมถึงได้ช่วยให้ประเทศไทยรอดพ้นจากฐานะผู้แพ้สงคราม ด้วยการก่อตั้งขบวนการเสรีไทย
ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ได้เล่าเรื่องราวชีวิตของท่าน ผ่านปลายปากกาการเรียบเรียงของ “นรุตม์” ในชื่อหนังสือ “หลากบทชีวิตท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์” ภายหลังที่ท่านเดินทางจากประเทศฝรั่งเศส กลับมาใช้ชีวิตที่ประเทศไทยในช่วงสุดท้ายของชีวิต ท่านเสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคหัวใจ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2550 ด้วยวัย 95 ปี คำสั่งเสียสุดท้ายของท่านผู้หญิงคือ “ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น” เมื่อฌาปณกิจเรียบร้อยแล้ว ให้ลูกหลานนำอัฐิของท่านไปลอยอังคาร ที่ปากน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ท่านเกิด
ในปีนี้ ตรงกับ 90 ปี หลังเลือกตั้งครั้งแรก ทางผู้เขียนหวังว่าเรื่องราวการได้มาซึ่งประชาธิปไตย ผ่านการต่อสู้ของนายปรีดี พนมยงค์ และผู้ร่วมอุดมการณ์อีกมากมายจากชีวประวัติของท่าน จะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจ หากมีข้อมูลส่วนใดที่ขาดหายไป หรือต้องการศึกษาเพิ่มเติม เข้าไปอ่านได้ที่เว็บไซต์สถาบันปรีดี พนมยงค์
ผู้เขียน : สีวิกา ฉายาวรเดช
สัมภาษณ์ : นรุตม์
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง :