เปิดทำเนียบเจ้าพ่อตัวจริงจะต้องมีชื่อ “ชัช เตาปูน” หรือ “ชัชวาลล์ คงอุดม” รวมอยู่ด้วย เขาแผ่อิทธิพลไปทั่วย่านเตาปูน จนถูกขนานนามเป็น “เจ้าพ่อ” ในยุทธจักรที่เขาเดิน ทั้งตำรวจ, ทหาร และนักการเมืองล้วนต้องเข้าหา ชื่อเสียงของ “ชัช เตาปูน” ยังโด่งดังในฐานะนักการเมืองระดับชาติ ผู้ผลักดันให้เกิดกาสิโนในเมืองไทย ฝันสร้าง “เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” นำรายได้มหาศาลมาพัฒนาประเทศ “ผมเกิดที่ทางรถไฟใกล้สะพานดำมุ่งหน้าไปจตุจักร สภาพเป็นทุ่งนาเปลี่ยวมาก ตอนเด็กๆเหมือนเป็นคนต่างจังหวัด ผมเรียนโรงเรียนช่างอากาศอำรุง คุณพ่อเป็นเจ้าหน้าที่การเงินของกรมช่างอากาศ เช้าก็เดินไปโรงเรียนกับพ่อ ถ้าวันไหนผมกลับบ้านก่อนแล้วฝนตก ผมจะเอาร่มวิ่งกลับไปรับพ่อ เป็นความอบอุ่นของคนในครอบครัว สมัยนั้นไม่มีทีวีดู ความสุขมาจากการเล่นไม้หึ่งกับเพื่อน ต้องวิ่งออกเสียงไปให้ถึงเป้าหมาย โดยมีเพื่อนคอยมาจับเพื่อไม่ให้ไปถึง ถ้ากลั้นใจไม่ถึงเป้าหมายก็แพ้ ด้านกีฬาผมเป็นนักวิ่งระยะสั้น สมัยเด็กเคยแข่งกับ “ไมตรี วิไลกิจ” เขาเป็นเด็กย่านนี้ ต่อมาไมตรีไปเป็นแชมป์กีฬาแหลมทอง ก่อนจะมาเป็นกีฬาซีเกมส์ในปัจจุบัน ฟุตบอลผมก็เล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ และมีความสุขจากเสียงเพลงวิทยุ ทำการบ้านไปเปิดวิทยุหัดร้องเพลงไป อาศัยจับเสียงสูงต่ำ ทำให้ชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมีโอกาสออกอัลบั้มเพลงกับค่ายนิธิทัศน์ เคยเล่นคอนเสิร์ตการกุศล “ครั้งหนึ่งของชัช เตาปูน” หาเงินให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ล้านกว่าบาท ร้องกับ “คุณสุเทพ วงศ์กำแหง” ทุกวันนี้ยังถูกเชิญไปร้องเพลง แต่เสียงไม่ดีเหมือนเดิมแล้ว ผมโชคดีที่ไม่มีโรคประจำตัว เพราะไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มแอลกอฮอล์”...“คุณชัช” ในวัยย่าง 82 ปี เปิดบทสนทนาในคฤหาสน์ย่านเตาปูน มีภาพ “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” ที่เคารพเหมือน “พ่อ” แขวนไว้ให้รำลึกถึง ใครเป็นคนหล่อหลอมให้เป็นสุภาพบุรุษนักเลงอย่างทุกวันนี้ สมัยเด็กผมไปไหนก็ไปกับพ่อ ตอนเช้าพ่อชวนเดินจากบ้านเลียบทางรถไฟไปสถานีรถไฟบางซื่อ อ้อมไปปูนซีเมนต์ไปสะพานแดง แล้วก็อ้อมประดิพัทธ์กลับบ้าน เป็นวิธีการออกกำลังกายของพ่อ เดินไปสอนไป พ่อย้ำเสมอว่าอย่าไปเกเรใครนะลูก แต่ถ้าใครมาเกเรต้องสู้ สิ่งที่หล่อหลอมผมได้ดีที่สุดก็คือคุณพ่อ ท่านสอนทุกอย่าง ทั้งไม่ให้กลัวคน ไม่ให้เกเรใครก่อน ถ้ามีเพื่อนมาเกเรอย่าไปชกตอบให้ไปบอกครู แต่ถ้ามีครั้งที่สามมันชกมาก็ให้ชกมันกลับเลย ผมก็เอาตรงนี้มาใช้เป็นประโยชน์ ผมไม่เคยทำอะไรใครก่อน แต่เป็นคนไม่ยอมคน ถ้าเห็นใครถูกรังแกไม่ได้รับความเป็นธรรม ผมช่วยได้ก็จะช่วยทันที อย่างสมัยโบ๊เบ๊ถูกห้ามค้าขายบนทางเท้า ชาวบ้านมาขอความช่วยเหลือ ผมไม่มีตำแหน่ง ทางการเมือง แต่เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ก็ไปเจรจากับผู้ว่าฯ กทม.สมัยนั้น ขอให้ผ่อนปรนจัดระเบียบให้เรียบร้อยก็พอ อย่าถึงขั้นห้ามไม่ให้มีที่ทำกิน และพ่อสอนอีกเรื่องคือความจริงใจกับเพื่อน เราต้องให้ความจริงใจกับเขาก่อน ทำให้ผมเป็นคนมีพรรคพวกเยอะ ถูกเรียกว่า “เจ้าพ่อ” ได้อย่างไรไม่รู้สื่อฉบับไหนตั้งฉายาให้ผมเป็น “ชัช เตาปูน” และให้ผมเป็น “เจ้าพ่อ” คงเพราะผมมีจิตใจอยากช่วย เหลือคน ชาวบ้านไม่มีที่อยู่โดนไล่ที่ผมก็สงสาร ให้ไปถามเจ้าของที่ดินว่าเขาขายไหม ผมซื้อที่ดิน 3 ไร่ สร้างเป็นตึกให้ชาวบ้านอยู่ฟรี เรื่องให้ทุนการศึกษาเด็กผมก็ชอบ เพราะสมัยเด็กบ้านจนได้เงินไปโรงเรียนวันละ 2 บาท ถ้านั่งรถไปก็ไม่มีเงินกินข้าวกลางวัน จึงต้องเดินไป กินข้าว 6 สลึง กินโอเลี้ยงแก้วละ 50 สตางค์ แล้วก็ต้องเดินกลับบ้าน เมื่อเป็น สส. พอเงินเดือนออกผมแบ่งเงินให้โรงเรียนช่างก่อสร้างดุสิต เดือนละ 60,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 30,000 กว่าบาท ให้เป็นทุนการศึกษาเด็ก ช่วงเปิดเทอมที่ผ่านมาจ่ายค่าเทอมไป 4 แสนกว่าบาท ให้ทุนการศึกษาเด็ก 18 คน ที่สอบติดมหาวิทยาลัยรัฐแต่ไม่มีเงิน ผมไม่เคยมุ่งหวังสิ่งตอบแทน สิ่งเดียวที่ต้องการคือให้ประเทศได้ประโยชน์ ถ้าการศึกษาไม่ดีประเทศเราจะสู้เขาได้อย่างไร เด็กไทยต้องได้เรียนฟรีถึงปริญญาตรี ถ้าผมมีอำนาจจะให้เรียนฟรีจริงๆไม่มีตุกติก ก่อนเข้าเรียน 1 ชั่วโมง อยากให้เด็กดีเบตกันว่า คนค้ายาเสพติด, ฆ่าพ่อฆ่าแม่ และคนคดโกงประเทศมันเป็นอย่างไร โตขึ้นจะได้ไม่เลือกคนคดโกงบริหารประเทศ ชีวิต “ชัช เตาปูน” ผ่านร้อนผ่านหนาวโชกโชนขนาดไหนสมัยผมเปิดบ่อนการพนัน ขณะนั้นเจ้าพ่อคนดังส่งลูกน้องเข้ามาเล่นการพนันในลักษณะถ้าได้เอา แต่ถ้าเสียไม่ยอมจ่ายเงิน ให้เจ้าของบ่อนจ่ายแทน เจ้าของบ่อนรายอื่นยอมเขาหมด แต่ผมยอมไม่ได้ จนเกิดเหตุลูกน้องทั้งสองฝ่ายยิงปะทะกัน ทำให้ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ต้องนัดผมกับเจ้าพ่อรายนี้ไปพบกันที่ห้องอาหารจีนโรงแรมดังย่านสุขุมวิท ผมไปกัน 2 คน เขามา 5-6 คน ผมถามตรงๆว่า “ผมเป็นเด็กกว่าเฮีย ผมไม่มาเดินทางนี้หรอกเฮียเดินไป แต่ผมคนไทยนะ ผมขอเปิดสักที่ก็แล้วกัน ถ้าเฮียไม่ให้ผม ออกไปผมตายผมก็ยกให้เฮีย ถ้าผมไม่ตายเฮียก็ระวัง” เขาจับมือผมบอกว่า “คุณแน่” ตอนนั้นผมเชื่อว่ามีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่นัดให้ เขาคงไม่กล้ามาอะไรกับผม แต่ถ้าเกิดจะมีอะไรก็ขอให้บอกมาแล้วกัน พอจับมือกันก็จบกันไป ตั้งแต่นั้นมาถ้าเกิดเขามีอะไรให้ช่วยเหลือผมช่วยได้ก็ช่วยทันที วันนั้นผมไม่ได้พกอาวุธ ถ้าเกิดเขาทำอะไรผม ตัวเขาก็คงอยู่ลำบาก เพราะเราไปมือเปล่า ก็วัดใจกัน ทุกวันนี้เขาไม่อยู่แล้ว เวลาใส่บาตรผมยังนึกถึงเขาเสมอ เพราะอยากให้เขาพ้นทุกข์ ภูมิใจขนาดไหนกับบทบาทนักหนังสือพิมพ์เจ้าของสยามรัฐผมมาช่วย “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” ตั้งแต่ปี 2518 ตอนท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้น สยามรัฐมีปัญหาเก็บเงินไม่ได้ เกิดจากสายส่งโกงเงินไปซื้อบ้าน ผมเลยยึดโฉนดบ้านมันแล้วนำเงินมาคืนสยามรัฐ ยุคที่ผมเข้ามาสยามรัฐขายได้ 5-6 หมื่นฉบับต่อวัน จากเดิมวันละหมื่นฉบับ “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์” เห็นว่าผมมีความสามารถ ท่านจะยกหนังสือพิมพ์ให้ผม แต่ผมปฏิเสธ เพราะเห็นว่าท่านมีลูก ผมตอบท่านว่า “ผมเป็นนักเลง ไม่ใช่นักหนังสือพิมพ์ ผมทำไม่ได้” ท่านจึงให้ลูกชาย “หม่อมหลวงรองฤทธิ์” ลองทำ ปรากฏทำได้สักพักก็โทร.มาหาผมว่า “ถ้าไม่ทำผมทิ้งแล้วนะ” ผมจึงเข้าไปรับช่วงต่อ โดยกิจการทั้งหมดที่รับมาไม่ได้เสียเงินซื้อเลย สิ่งที่ “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์” ยกให้ ก็มีอาคารพาณิชย์ที่ถนนราชดำเนินเป็นตึกแถว 4 ห้อง, แท่นพิมพ์ และที่ดินที่ตั้งของสยามรัฐในปัจจุบัน ท่านยกให้หมดตั้งแต่ปี 2538 โดยสั่งไว้ว่า “อย่าให้หนังสือพิมพ์สยามรัฐล้มหายตามพ่อไป” ผมรับปากและยังคงพิมพ์หนังสือพิมพ์สยามรัฐมาถึงทุกวันนี้ โดยขยายออนไลน์ปรับตัวให้เข้ากับโลกปัจจุบัน จากเจ้าพ่อเตาปูนเข้ามาโลดแล่นในเส้นทางการเมืองได้อย่างไรผมไม่เคยวางแผนเข้าสู่เวทีการเมือง ขนาด “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์” ที่ผมนับถือเป็นพ่อ ให้ผมเป็นรัฐมนตรี ผมยังปฏิเสธและบอกท่านว่า “ถ้าเกิดผมเป็นรัฐมนตรี พ่อต้องโดนด่า” ตอนนั้นผมเปิดบ่อน เกรงว่าพ่อจะเสียหาย ผมได้รับเลือกเป็น สว. ครั้งแรกในปี 2543 ก่อตั้งพรรคพลังท้องถิ่นไท ในปี 2555 และลงสมัคร สส. ครั้งแรกในปี 2562 ถ้าคิดเรื่องการเมืองตั้งแต่ต้น ผมคงเป็นรัฐมนตรีไปแล้วตั้งแต่สมัย “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์” หลังการเลือกตั้งปี 2562 “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” โทร.หาผมว่า “ให้มาอยู่ด้วยกัน จะเอาอะไรไหม” ผมบอกว่า “ไม่ต้องครับ อยากให้ตั้งรัฐบาลให้ได้” เวลาประชาชนเดือดร้อนผมก็พาไปหาท่านให้ช่วยเหลือ ผมไม่เคยขออะไรที่เป็นประโยชน์ส่วนตัวไม่ว่ากับใคร แม้แต่สมัย “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์” ท่านถามว่า “พ่อเป็นนายกฯเอ็งได้อะไรบ้าง” ผมตอบว่า “ผมไม่ได้อะไรหรอก แต่ถ้าประเทศได้ผมพอใจ” ทำไมประเทศไทยจำเป็นต้องมี “เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์”ผมเสนอให้เมืองไทยมีกาสิโน เพราะเห็นว่าคนไทยแห่ไปเล่นที่กัมพูชา เงินรั่วไหลปีละ 80,000 ล้านบาท ทำไมเราไม่เปิดให้ถูกต้อง มีกฎหมายควบคุม แล้วเอาเงินมาพัฒนาประเทศ ถึงวันนี้ผมเป็น สส. ร่วมรัฐบาลสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้เสนอเรื่องนี้อีก มีพรรคอื่นมาเห็นด้วย เมื่อคราวโหวตพรรคที่เห็นด้วยมีมากถึง 310 เสียง คนไม่เห็นด้วยมีแค่ 9 เสียง พอถึงชั้นตั้งกรรมาธิการสรุปว่า ต้องมี “เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” 5 แห่ง ข้างในมีโรงแรม 5 ดาว, มีสนามมวย, สนามแข่งรถ, สนามม้า, มีสวนสุขภาพ และมีคอนโด ไม่ต่างจากลาสเวกัส ใช้พื้นที่ไม่ต่ำกว่า 3,000 ไร่ ห่างจากสนามบินไม่เกิน 100 กิโลเมตร ผมเสนอเอาพนันออนไลน์เข้ามาด้วย ทุกวันนี้เด็กลักลอบเล่นพนันออนไลน์ครั้งละ 10 บาท มีโดเมนไปเปิดต่างประเทศ และมีบัญชีม้าไล่ตามจับใครไม่ได้ จึงอยากทำให้มันถูกกฎหมาย หากใครจะมาลงทุนทำออนไลน์ต้องวางเงินค้ำประกัน หากมีการปล่อยให้เด็กเข้ามาเล่นจะโดนยึดเงินค้ำประกัน ทุกอย่างสามารถควบคุมได้ ผมมีพรรคพวกที่หุ้นอยู่กับสิงคโปร์ เขาได้ 1% มีรายได้ปีละ 300 ล้านบาท เป็นกำไรจากกาสิโนไม่เกี่ยวกับภาษี นี่แค่ 1% ยังได้เงินขนาดนี้ เงินตรงนี้สามารถช่วยเหลือพัฒนาประเทศได้หลายอย่าง ถ้าไทยทำเองและนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คนไทยซื้อหุ้น 3 แสนกว่าล้าน แป๊บเดียวหาเงินเข้าประเทศสบาย ไม่ต้องง้อต่างชาติมาลงทุน ต้องหาผู้ชำนาญการมาบริหาร มีการตรวจสอบแหล่งที่มาของเงิน ในกาสิโนมีกล้องวงจรปิดเป็น 1,000 ตัวจะได้รู้ว่าคุณเล่นจริงไหม ผมแค่อยากให้ประเทศเจริญ อยากให้เด็กไทยได้เรียนหนังสือ อยากให้คนไทยมีกินมีใช้.ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่