ตัวแม่ทุกๆด้าน ไม่ว่าจะจับไมค์ร้องเพลง หรือเล่นละคร อินเนอร์เกินเบอร์จริงๆ สำหรับ ต๊งเหน่ง–รัดเกล้า อามระดิษ นักร้องดีว่าหญิงแนวหน้าของเมืองไทย ล่าสุดสวมบทบาทเป็นฟองแก้ว หัวหน้าแม่บ้านสายเป๊ะ ในละคร สูตรเล่ห์เสน่หา ทางช่อง 8 แต่หลายคนคงสงสัยว่าฝีมือขั้นครูขนาดนี้ ทำไมถึงได้ยอมเล่นบทแม่บ้าน อะไรที่ทำให้คิดแตกต่างไปจาก “นักแสดง” ท่านอื่นๆ ส่วนอาชีพ “นักร้องคอรัส” ก็ยังไม่ทิ้งไปไหน พร้อมเปิดใจครั้งแรก เกี่ยวกับเรื่องความรักจนป่านนี้ก็ยังโซ้ดโสดมาราธอน ใน “คนดังนั่งคุย”

บทบาทในเรื่องนี้พี่ต๊งเหน่งเล่นเป็นใคร

“รับบทเป็นป้าฟองแก้ว เป็นหัวหน้าแม่บ้านที่กุมอำนาจทั้งหมด ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ทั้งหมดของคุณท่าน ช่วยดูแลทุกๆอย่าง เรียกได้ว่าเป็นคนที่เคร่งครัดในหน้าที่ ส่วนคาแรกเตอร์จะเป็นคนที่เจ้าระเบียบ ก็จะคุมลูกน้องให้ทำงานออกมาให้ดีที่สุด เรากับเจ้านายจะเป็นอะไรที่รู้ใจกันที่สุด” บทบาทฟองแก้วมีอาวุธประจำกายด้วย คืออะไร อย่างไร “อาวุธประจำกายของเราก็คือมีดบินค่ะ เพราะตัวฟองแก้วเอง เป็นผู้หญิงที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่มีผู้ชาย เราเป็นพี่คนโต เป็นหัวหน้าครอบครัว ตั้งแต่สมัยที่อยู่ต่างจังหวัด จะเป็นคนที่คุ้มครองคนในบ้านมาตลอด ใครก็ไม่กล้าเข้ามาแหยม ทุกคนจะกลัวเราหมด”

...

เป็นบุคคลที่เห็นหน้าได้ทุกช่อง รับงานได้หมด สยบทุกบทบาทจริงๆ

“ต้องขอย้อนกลับไปสมัยที่ยังเป็นคอรัส เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ที่ยังเรียนอยู่ เรามองตัวเองเป็นมือปืนรับจ้าง อาชีพของเราคืออาชีพอิสระ เรามองว่า ความสุขที่สุดของเราคือการที่ได้ทำงาน และเราจะมีความสุข มาก ถ้าได้ทำงานที่หลากหลาย ตอนที่ยังเป็นนักร้องคอรัสอาชีพ เราร้องให้กับทุกค่ายเลย โดยที่พี่ๆแต่ละท่านที่เรียกใช้งาน ท่านก็มองว่า ถ้างานไหนที่เหมาะสมกับเรา ท่านก็เรียกเราไป โดยที่ไม่ได้มองว่าเราจะเป็นคนของค่ายใดค่ายหนึ่ง ซึ่งตรงนี้มันทำให้เราได้มีโอกาสเรียนรู้กว้างมาก โลกสำหรับการทำงานของเรามันเปิดกว้างมาก ซึ่งดีมากๆ เพราะว่าเราได้เรียนรู้ตลอดเวลา เช่นกันกับการมาเป็นนักแสดง เราต้องตอบตัวเองว่า ความสุขของเราคือการที่ได้เป็นตัวละคร หรือทักษะที่เราได้แสดง พอได้แสดงความท้าทายมันจะเกิดจากการที่เราได้รับบทบาทตัวละครที่แตกต่างกัน ความสุขของเราคือการได้สวมบทบาทเป็นตัวละครที่หลากหลาย เป็นตัวละครที่เราไม่มีโอกาสได้เป็นในชีวิตจริง ฉะนั้น แต่ละช่องที่เราได้มีโอกาสร่วมงาน แสดงให้เห็นว่าเราอาจจะมีความเหมาะสมกับบทบาทอะไร ตรงไหน เขาจึงหยิบยื่นโอกาสให้ เราปฏิเสธไม่ได้ เพราะความที่เราก็อยากที่จะได้รับโอกาสนั้นมา เราอยากจะบอกว่า ทุกวันนี้เรามีความสุขมากๆในการที่ได้เป็นตัวละครต่างๆที่มันหลากหลาย ต้องขอขอบพระคุณ ทุกที่ทำงาน และอย่างยิ่งก็คือช่อง 8 ของเรา ที่หยิบยื่นโอกาสให้กับพี่ ขอบพระคุณค่ะ”

เม้าท์ชัด จัดทุกตอน ติดตามได้ที่ www.thairath.co.th/novel และ Facebook Fanpage : นิยายไทยรัฐ

เคยบอกว่าไม่จำกัดบทบาทที่ตัวเองเล่น เพราะนักแสดงต้องเล่นได้ทุกบท

“ในฐานะของคนที่ทำงานในวงการบันเทิง หนึ่งคือเป็นอาชีพที่เราทำแล้วเราได้รับค่าตอบแทน แต่อีกมุมหนึ่งที่เราต้องมอง สำคัญมากๆเลยก็คือ การได้สร้างสรรค์อะไร หรือการที่เราได้คืนอะไรกลับไปให้กับสังคมที่เราอยู่ ตรงนี้ต้องคิดเสมอ กับทุกบทบาทที่เราได้รับหน้าที่ของศิลปินหรือว่านักแสดง ไม่ใช่แค่การสร้างความบันเทิง แต่เรามีหน้าที่สะท้อนสังคมและชีวิตจริงให้คุณผู้ชมได้เห็น เรามีหน้าที่เป็นตัวอย่าง ว่าถ้าเราทำแบบนี้ผลลัพธ์ที่ได้มันคืออะไร เพื่อให้คุณผู้ชมตระหนักคิด เขาจะเห็นตัวอย่างจากสิ่งที่เราเจอในเรื่อง ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นๆจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย ดั่งคำที่ว่า ดูละคร ย้อนดูตัวเอง”

ใครๆก็มองว่าเป็นคนมีชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ จริงๆเป็นแบบนั้นหรือเปล่า

“ไม่เลยค่ะ ชีวิตจริงเป็นคนที่เครียด เครียดกับงาน เพราะว่าเราอยากจะทำออกมาให้ดีที่สุด มันเลยกลายเป็นผลกระทบกับการใช้ชีวิตจริงในประจำวัน แทบจะเกิน 75 เปอร์เซ็นต์ของเวลาในชีวิตที่เอาไปทุ่มเทให้กับงาน การทำการบ้านหรืออะไรก็ตาม มันกินเวลาที่เหลือในชีวิตไป เราไม่ได้ดูแลตัวเองเท่าที่ควรจะเป็น แล้วเราก็เครียดกับคนรอบข้าง เชื่อไหมว่าเคยนิมนต์พระมาทำบุญที่บ้าน คุณแม่จะออกปากเลยว่า พระอาจารย์ช่วยเตือนรัดเกล้าหน่อยค่ะ ว่าเครียดมาก ทำงานกลับมาก็เครียด เข้าบ้านมาบางทีแม่พูดด้วยเขาก็ไม่ตอบ ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขาไม่ปล่อยวางเลย เรื่องนี้พี่ยอมรับว่าตกใจมาก ถึงขนาดที่แม่เราเอ่ยปากกับพระอาจารย์ เราตกใจที่ว่า สิ่งที่เราทำมันมีอิทธิพลกับคนในครอบครัว หรือคนรอบข้างมากขนาดนี้เลยเหรอ เราไม่เคยรู้ตัวจริงๆ หลังจากนั้นพระอาจารย์ก็เรียกพบเลยทันที เพื่อดึงสติเรากลับมา และให้เราปล่อยวาง”

...

ประสบการณ์วงการบันเทิงสอนอะไรเราบ้าง

“เราเข้าวงการตั้งแต่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย สิ่งที่สอนก็คือ อันดับแรก เราเข้ามาในขณะที่เราต้องไหว้ทุกคนเพราะเรายังเด็ก เราได้เรียนรู้ตลอดเวลา วงการนี้สอนให้เรารู้ว่า เราต้องเปิดรับ เราต้องไม่มีตัวตน อย่าไปยึดติด ทุกอย่างเป็นกฎธรรมชาติ มันจะมีการเปลี่ยน แปลงตลอดเวลา ท้ายที่สุดแล้วกฎธรรมชาติและกฎของพระพุทธ ศาสนาจะเป็นสิ่งเดียวกัน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง เราควรจะเรียนรู้และปรับตัว อย่าไปมีอัตตา” อยากบอกอะไรกับเด็กๆที่เพิ่งเข้ามาในวงการ “ถ้าสิ่งที่พี่ทำ หรือสิ่งที่พี่พูดให้คำแนะนำ ผ่านสื่อต่างๆจะเป็นประโยชน์กับน้องๆก็ถือว่าสิ่งที่พี่ทำมันจะเป็นตัวอย่างที่ให้น้องได้เห็น อย่างเรื่องของการทุ่มเท มุ่งมั่นกับการทำงาน มันมีผลดีอย่างไร แต่ถ้าหากว่าทำงาน จนไม่สามารถปล่อยวาง ทำให้มันกินเวลาชีวิต สร้างผลลบให้กับคนรอบข้าง มันมีผลเสียอย่างไร น้องๆหรือคนรุ่นต่อๆไปจะได้มองเห็นตัวอย่างนี้ของพี่ ก็อยากให้นำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ แค่นี้พี่ถือว่าพี่มีความสุขแล้วค่ะ”

...

เคยคิดน้อยใจไหมที่คนจำเรามากกว่านักร้อง

“พี่ว่าจังหวะชีวิตของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ช่วงที่เราไปทุ่มเทกับงานเพลงหนักๆเราก็หายไปจากงานการแสดงไปเลย คือเลือกที่จะไม่รับเลย แต่ก็ไม่ถึงกับทิ้งเลย เป็นงานที่เรารักและเป็นงานที่เราเรียนมา ในช่วง 10 ปีหลัง พอเราให้เวลากับงานแสดงเยอะขึ้น เราก็จะค่อนข้างหายไปจากงานเพลง คุณผู้ชมก็อาจจะรู้สึกว่า คนนี้เขาร้องเพลงด้วยเหรอ เราก็ไม่ได้น้อยใจ แต่ว่ามันเป็นผลที่เรา ต้องยอมรับ”

ไม่เคยมีใครรู้เรื่องความรักเลย โสดหรือเปล่า

“โสดค่ะ อย่างที่บอกว่าเกิน 75 เปอร์เซ็นต์ของเวลาในชีวิตอยู่กับงานทั้งหมด ก็เลยไม่ได้มีเวลาที่จะไปสนใจหรือโฟกัสในเรื่องของความรัก ประกอบกับโดยส่วนตัวเราเป็นคนที่ไม่ได้เปิดกับคนที่ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะเปิดรับใครเข้ามามันก็เลยไม่มี ต้องใช้คำว่าไม่มีเลย แล้วเราก็มองว่าเราอาจจะไม่ได้ทำบุญมา ในด้านคู่ครอง แต่ทีนี้เราจะรู้จักกันได้อย่างไร มันก็ต้องมาจากการทำงานใช่ไหม แต่เราก็จะมองแต่เรื่องของการทำงานไปอีก คือเรายังมีความเป็นผู้หญิงในยุคโบราณอยู่ เราจะไม่กล้าที่จะไปจีบใคร และด้วยวัยขนาดนี้ ผู้ชายส่วนใหญ่ก็จะมีคู่ครอง แล้วถ้าไม่ใช่คนที่อยู่ในวงการ เรายิ่งไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะไปทำความรู้จักกับใคร และที่สำคัญ คือเราคิดว่าตัวเราไม่ได้มีเสน่ห์ ในการดึงดูดเพศตรงข้าม”

มีมุมมองอย่างไรในเรื่องความรัก

“ดีมากค่ะ สวยงาม เรามองทุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมะ ซึ่งก็คือธรรมชาติ พุทธศาสนาก็คือกฎแห่งกรรม ทำอะไรก็จะได้อย่างนั้น แน่นอนที่สุด ถ้าเราเป็นคนที่ไม่คุยเรื่องอื่นเลยนอกจากงาน แล้วเราจะมีคู่ไหม แน่นอนว่าไม่ได้ ทำอะไรได้อย่างนั้นจริงๆค่ะ คำนี้เลย” ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ต้องง้อผู้ชาย “เรื่องนี้จริงๆ แล้วอยู่ที่คน ถ้าเป็นคนที่เข้มแข็งในแง่ของร่างกายแล้วก็จิตใจ ถือว่าไม่จำเป็นที่จะต้องง้อผู้ชาย อย่างตัวพี่ พี่จะมีเพื่อนสนิท ซึ่งเพื่อนพี่ค่อนข้างมีความลงตัว เพราะว่าเป็นหมอ 2 คน สายอักษรศาสตร์ 1 คน ชีวิตค่อนข้างที่จะบาลานซ์ อย่างสมมติว่ามีเหตุการณ์ที่เราเป็นแผล เพื่อนสายศิลป์ก็จะให้กำลังใจเรา ส่วนอีกสาย ทางหมอเขาก็จะบอกว่าให้อดทน ซึ่งแปลว่า มันต้องเจ็บ จบเลย พี่ก็เลยรู้สึกว่าดีจังเลย นี่แหละคือสิ่งที่เราต้องเจอ ต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวของเราเอง เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องง้อผู้ชายค่ะ”.

...

เรื่อง: วรรณี ห่อวโนทยาน