ตกตะกอนประสบการณ์ รวบรวม 10 เพลง เรื่องราวเรียนรู้และเติบโตจาก “ความเจ็บปวด” ลงในอัลบั้มใหม่ “Grow in the Dark” ของวง “Klear” (เคลียร์) ค่าย genie records ในเครือ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ที่อยากให้เสียงเพลงของวงเป็นที่ปลอดภัยอยู่เคียงข้างแฟนแพลงให้ผ่านวันมืดมนไปได้ 4 สมาชิก ทั้ง แพท รัณนภันต์ ยั่งยืนพูนชัย (ร้องนำ), ณัฐ ณัฐวัฒน์ แสงวิจิตร (กีตาร์), คี คียาภัทร โพธิ์วงศ์ไพรเลิศ (เบส) และ นัฐ นัฐ นิลวิเชียร (กลอง) มาในลุคและภาษาดนตรีแปลกใหม่แต่ยังเข้มข้นแบบ “เคลียร์” เลยชวนคุยว่า
อะไรทำให้อัลบั้มนี้ออกมาแบบนี้?
แพท “เราไม่ได้ตั้งใจต้องเปลี่ยนหรือต้องต่าง เรื่องลุคเป็นสิ่งที่อยากทำปีที่แล้วพอดี ครั้งนี้ห่างจากอัลบั้มที่แล้ว 3 ปี เราได้เดินทางเก็บเรื่องราวมา”
คี “เรื่องดนตรีทุกครั้งที่ทำอัลบั้มหรือผลงาน เหมือนเป็นการตกตะกอนสิ่งที่เราชอบหรือคิดได้รับมาในช่วงนั้น กลั่นกรองออกมาทางเพลง แต่สิ่งที่เห็นหรือภาพ เป็นสิ่งที่เราใช้ชีวิตช่วงนั้นจริงๆ เช่นเรื่องเสื้อผ้ามันเป็นเสื้อผ้าที่เราชอบใส่ช่วงนี้”
แพท “วงเคลียร์เดินทางมา 15 ปีอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ 5 เราย้อนกลับไปขอบคุณหลายๆอย่างในอดีตที่มันสอนเรา ซึ่งส่วนมากจะเป็นความผิดหวัง ความเจ็บปวดในอดีต สิ่งเหล่านั้นมันขัดเกลาเราให้เติบโตขึ้น เลยเป็นที่มาของชื่ออัลบั้ม ความมืดเป็นตัวแทนความผิดหวังความเสียใจในอดีตและคือสิ่งที่ทำให้เราเติบโต เป็นจุดที่พวกเราตกตะกอนกับชีวิตด้วย”
คี “ถ้ายกตัวอย่างให้เห็นว่าความเจ็บปวดว่าเป็นสิ่งที่ดีได้ยังไง ก็เช่นช่วงโควิด-19 เราก็ต้องล้มกระดานการเปิดอัลบั้ม สิ่งที่ตั้งใจมันพัง แต่พอมาถึงวันนี้เราเหมือนสร้างงานบางอย่าง เช่น การได้ไลฟ์เปิดอัลบั้มที่ลานจอดรถ ทุกอย่างมันก็ขัดเกลาเรา คือมันเจ็บปวดแต่เราก็แข็งแกร่ง”
...
แพท “อย่างเรื่องความรัก ความเจ็บปวดอกหักจากคนเก่ามันทำให้เราเรียนรู้และเติบโตขึ้น สุดท้ายวันหนึ่งเราก็อาจจะได้เจอคนรักที่ดี พวกเราแค่ไม่อยากให้คนกลัวความดาร์ก”
ณัฐ “ทุกคนก็ต้องเจอความเจ็บปวด ถ้าไม่เจอก็คงไม่ได้ก้าวต่อไป”
10 เพลงความมืดเจ็บปวดหลายเรื่องราว?
แพท “10 เพลง พอเราทำเป็นอัลบั้ม ทำให้เราทำเพลงได้หลากหลายขึ้น เราทำ 10 เพลงพร้อมกันไปด้วยกัน ทำให้เราคิดกว้างขึ้น ให้มันทำหน้าที่ของมันดูแลคนที่อยู่ในสถานการณ์ 10 แบบได้ยังไงบ้าง โดยที่ทั้ง 10เพลงอยู่ใต้ร่มของคำว่า Grow In The Dark ต่อให้เป็นเรื่องเจ็บปวดแต่สุดท้ายเราก็จะหาความหมายที่จะเติบโตจากสิ่งนั้นได้ยังไง”
ณัฐ “ทางดนตรีอัลบั้มนี้ทุกคนต้องฝึกจิตครับ คืออย่าเล่นเยอะ คือเราลงในรายละเอียด เอาความพอดี ลงไปที่เพลง ไม่ต้องใส่เทคนิคเยอะ มันยากเพราะเราไม่ชิน แต่พอทำแล้วมันทำให้ภาพรวมเพลงกลมกล่อมขึ้น เพลงมันสื่อสารได้มากกว่า”
แพท “เหมือนได้พัฒนาทางความคิดนะ เราคิดเยอะขึ้นแต่ทำให้น้อยลง และอัลบั้มนี้สำหรับแพทเป็นอัลบั้มที่เขียนเพลงสนุกที่สุดในชีวิต ใช้ทุกกระบวนท่าในการทำงานมา 10 กว่าปี”
ก่อนความเจ็บปวดทำให้เติบโต จากประสบการณ์แต่ละคน เวลาช่วงที่อยู่ในความดาร์กนั้นๆ ชีวิตดาวน์ขนาดไหน?
แพท “มันเริ่มจากพยายามหาทางออกว่าเราไม่อยากทุกข์ในความมืด พอรู้ว่าเราจะอยู่ในที่ดาร์ก เราก็จะมองหาว่าเราจะเรียนรู้อะไรเสมอ” คี “ถ้าจะหาวิธีออกจากมันคือการหาคนระบาย ผมว่าเป็นวิธีที่ทำให้ความอึดอัดใจมันออกไป”
ณัฐ “ถ้าเจ็บถ้าเหนื่อยก็ร้องไห้ไปไม่ใช่เรื่องผิด หาคนปลอดภัยไว้ใจอยู่ข้างๆ”
นัฐ “ถ้าเจอปัญหาหรือล้มก็บอกตัวเองว่าอย่าหยุด ทำต่อไป”
แพท “เราอยากกระจายความคิดนี้ออกไปว่าอย่าไปหนีความเจ็บ ความเสียใจ แค่อยู่กับมันเดี๋ยวมันจะดีขึ้นเอง อย่างที่แฟนๆมองว่าเราเป็นที่ปลอดภัยคือเราอยากเป็นสิ่งนั้นให้กับทุกคน พวกเค้าอ่อนแอกับเราได้ร้องไห้เสร็จแล้วเดี๋ยวเข้มแข็งเอง”
ที่ผ่านมาเลยได้เห็นหลายๆครั้ง มีแฟนๆ ออกมาร้องไห้หน้าเวทีเพราะอินกับเพลงของวง?
แพท “เป็นธรรมชาติของพวกเราด้วยว่าอยากให้เป็นเพื่อนกับคนดูไม่ได้อยากเป็นคนไกลตัว จับต้องไม่ได้ วันนี้เลยรู้สึกว่าเราสื่อไปถึงคน เวลาเราแสดงถ้าเห็นคนร้องไห้ก็ลงไปหา จริงๆแฟนๆสนิทกับพวกเราไปแล้วผ่านเสียงเพลง เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราจะทำตอบแทนคือถ้าเค้ารู้สึกแย่เราก็เข้าไปปลอบ เพราะเราคือคนสนิทกันแล้ว”
ความประทับใจที่ทำให้รู้ว่าแฟนๆใช้เพลงเราเป็นที่ปลอดภัย?
แพท “มีตลอดเวลาเลยค่ะ บางคนมีเรื่องที่ไม่ได้บอกใครเลย แล้วเค้า Inbox มาเล่าให้ฟังในเพจวง เราก็ดีใจที่เราทำหน้าที่ได้มากกว่าเป็นแค่เสียงเพลง หรือศิลปิน”
ณัฐ “เวลาเราไปเล่นที่ต่างๆได้เจอแฟนๆบอกว่าเพลงเราช่วยเค้าในช่วงเวลาต่างๆ เราก็รู้สึกว่าเพลงเรามีประโยชน์ต่อคนอื่นจริงๆ”
การเดินทางของวงเคลียร์ล่ะ ช่วงมืดมนเจ็บปวดอยู่ช่วงไหนและผ่านมายังไง?
แพท “จริงๆชีวิตวงก็ตามชื่ออัลบั้มเลยนะ อัลบั้ม “Stay Alive” คือดาร์กสุดแล้วไม่ได้อยากมองโลกบวก คิดแค่ว่าเอาชีวิตให้รอด ไม่ได้คิดว่าจะได้ออกอีก อัลบั้มที่ 2 “Brighter Day” รู้สึกว่าชั้นหลุดพ้นจากความทุกข์แล้ว รู้สึกอยากมองโลกมุมบวกบ้าง พออัลบั้มที่ 3 “The Storyteller” เป็นอัลบั้มที่เรารู้สึกเริ่มมีความสุขกับคนดู เริ่มรักคนดู เราเลยเป็นตัวแทนในการเล่าเรื่องของเค้า มาอัลบั้มที่ 4 “Silver lining” มันคือความหวัง เวลาฟ้าครึ้มแล้วเราเห็นแสงขอบเมฆ เราอยากให้คนโฟกัสที่มุมบวก พอมาถึงอัลบั้มนี้ “Grow in the dark” เราอยากให้ทุกคนกลับมามองความมืดและเห็นมันเป็นของดีที่มันขัดเกลาเรา”
...
ณัฐ “อย่างพวกเราอุปสรรคมันมีเข้ามาตลอดอยู่แล้วแต่ดีที่ว่าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน มีปัญหาก็ต้องเคลียร์ให้จบ” แพท “แพทมองว่าการทะเลาะคือเพื่อไปต่อ เพื่อปรับทัศนคติ แพทว่าถ้าเรารักในเป้าหมายมากพอ เราก็ไปต่อได้อยู่ดี”.