ร้อยเรียงบทเพลงดั่งกวี...ศิลปินหญิงแห่งยุคและนักแต่งเพลงมากฝีมือ “โบกี้ไลอ้อน” (BOWKYLION) หรือ “โบกี้-ณิชชาฎา วีระสุทธิมาศ” จากค่ายเพลง What The Duck (วอท เดอะ ดัก) ถ่ายทอดเพลงล่าสุด “ที่คั่นหนังสือ” (Sometimes) ผ่านเรื่องราวลึกซึ้งด้วยเสียงร้องและทำนองสุดลงตัว โคจรร่วมงานเบื้องหน้าครั้งแรกกับ “นนท์-ธนนท์” (NONT TANONT) ศิลปินชายสุดฮอตแห่งยุค เข้ามาผสานความเป็นไทยผสมกับ R&B ผ่านทั้งภาษา และสำเนียงการร้องชวนหูเคลือบทอง ถือจุดเปลี่ยนสำคัญที่เผยให้เห็นทิศทางและการเติบโตในอัลบั้มใหม่ที่จะเกิดขึ้นของ “โบกี้ไลอ้อน”

เพลง “ที่คั่นหนังสือ” เกิดขึ้นในช่วงที่ “โบกี้” อยากแต่งเพลงเกี่ยวกับพรรณนาโวหารหรือการตีความเชิงสัญลักษณ์แล้วใช้ภาษา สละสลวย เลยลองมองสิ่งของรอบตัว วันหนึ่งกำลังอ่านหนังสือ อ่านปุ๊บ พอปิดหนังสือลงก็รู้สึกว่าวันหนึ่งหนังสือเขาจะรอเรากลับมาอ่านหน้าเดิมไหม หรือถ้าเราคั่นไว้ สิ่งที่ได้อยู่ข้างหนังสือก็คือที่คั่นหนังสือ อยากลองแต่งเพลงที่แบบบรรยายเป็นเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับหนังสือที่หลงรักผู้อ่าน

...

“โบกี้” เล่าความเชื่อมโยงมหัศจรรย์ ว่ามีประโยคหนึ่งที่เคยบันทึกไว้ในสมุดโน้ตตั้งแต่เรียนมัธยมปลายอารมณ์อกหักสไตล์เด็กๆ ว่า “ถ้าเธอเป็นหนังสือ ถ้าเขาเป็นผู้อ่าน ฉันคงเป็นได้แค่ที่คั่นหนังสือ ถ้าเขาอ่านหนังสือไม่จบ เราคงพบกันระหว่างหน้า แต่ถ้าเขาอ่านเธอไม่พักสายตาคงต้องยอมรับการจากลาแต่โดยดี” พอขึ้นต้นสักพัก นึกได้ว่าเฮ้ยเราเคยเขียนไว้จริงๆ โดยไม่คิดว่าวันหนึ่งสิ่งนี้จะได้กลายมาเป็นเพลง!

“โบกี้” ยอมรับเพลงนี้เป็นเพลงที่ “ยาก” เรื่องราวอาจจะเข้าใจยากกับ ความสัมพันธ์ของ เธอผู้อ่าน หนังสือ ที่คั่นหนังสือ เป็นการอนุญาตให้คนฟังจินตนาการได้เอง พอร้องคนเดียวจะร้องยังไงให้มันหมดทุกคำ ต้องมีคนช่วยกันร้อง ก็เลยนึกถึงเพื่อน คิดไว้คนแรกเลยเป็น “นนท์-ธนนท์” เขาตกลงเลย ตอนนั้นก็เผื่อใจไว้นิดนึงว่าถ้านนท์ไม่เอา อาจจะไม่ปล่อยเพลงเก็บไว้ก่อน พอมี นนท์ มาเราก็เพิ่มท่อนที่เหมาะกับนนท์ เข้ากันลงตัวที่สุด ก่อนปล่อยเพลงก็มีความเฟลนิดนึงว่าคนจะเข้าใจมั้ย แต่พอปล่อยมาด้วยความไม่คาดหวัง สิ่งที่กลับมา มันดีกว่าที่คิดมากทั้งในแง่การตลาด และผู้ฟังที่ชอบเนื้อเพลง ไม่คิดว่าเค้าจะอยากเข้าใจมากขนาดนี้ และเราก็ดันยินดีที่จะอธิบาย เราแค่บอกในมุมผู้แต่งว่าตอนนั้นตีความยังไง คิดอะไรอยู่

สำหรับ “โบกี้ไลอ้อน” กว่าจะออกมาเป็นแต่ละผลงานไม่เคยมีคำว่า “ง่าย” ยอมรับจากใจว่าตัวเองเป็นพวกเพอร์เฟกชันนิสต์ แต่ละงานต้องเป๊ะ แม้แต่รูปอาร์ตเวิร์ก อัลบั้ม โบกี้ก็ลงมือปรับแต่งจนเนี้ยบที่สุดทุกชิ้น “หนูเป็นโรคจิตแบบนั้น คือถ้ามันไม่เป๊ะหรือว่ามันไม่ได้อย่างนั้นคือไม่ปล่อย ถ้าไม่ปล่อยก็จะรู้สึกแย่กับตัวเองว่าทำไมเราเป็นคนแบบนีิ้ เป็นคนพลิกโอกาสให้เป็นวิกฤติ เป็นคนทำอะไรง่ายๆให้มันยาก (ยิ้ม) รู้สึกว่าเพลงหนู ถ้ามันง่ายเกินไปมันก็จะรู้สึกว่ามันไม่พยายามมากพอก็ทำให้มันยากๆไปเลย”

...

เพลง “ที่คั่นหนังสือ” เป็นแชปเตอร์ “ใหม่” ของอัลบั้ม “ใหม่” การประเดิมด้วยเพลงนี้มันบอกทิศทางอะไรไหม “โบกี้” เล่าว่า “บอกเยอะเลย แทบไม่เคยจริงจังฟีทกับใครในเพลงของตัวเองมาก่อน มันเป็น Direction ที่เรารู้สึกว่าเรากล้าที่จะเติบโตบ้าง หนูอาจจะดูเหมือนหยิ่งมากๆที่ไม่ฟีทกับใคร แต่คือจริงๆแล้วหนูแค่ไม่มั่นใจในตัวเองว่าจะไปดีพอที่จะอยู่ข้างๆใครสักคนไหม หรือเวลาไปเป็นแขกรับเชิญในคอนเสิร์ต มันไม่ใช่แค่ตัวเราที่จะดีหรือไม่ดี แต่ว่ามันเป็นภาพรวมของคอนเสิร์ตคนเหล่านั้น ศิลปินเหล่านั้นด้วย มันทำให้หนูต้องคิดแล้วคิดอีกว่าเราดีพอไหม คิดว่าอันนี้เป็นกุญแจนำทางสำคัญมากที่จะไขเข้าไปก้าวสู่โบกี้ที่ใหม่ขึ้นแต่คงเป็นเอกลักษณ์คนเดิมอยู่ มันถือว่าหนูเปิดโลกตัวเองที่กล้าที่จะไปแล้ว”

อาจจะมีคนมาฟีทอีก?

“รึเปล่า จุ๊ๆ จะเป็นไปได้ไหม ต้องรอติดตามชมเพลงต่อไป ระหว่างนี้ก็ฟังเพลงที่คั่นหนังสือไปก่อนค่ะ แพลนที่จะปล่อยเพลงใหม่ก็อีกไม่เกิน 3 เดือนนี้ค่ะ อยากมีความต่อเนื่องแล้วก็อยากมีเพลงเยอะๆ ให้คนฟังได้ร้องตามไม่เพลงใหม่ก็เพลงเก่าก็ยังดีค่ะ”

...

ณ ตอนนี้ หลายคนก็ยกให้เราเป็นศิลปินตัวแม่แห่งยุค รู้สึกยังไงกับคำนี้?

“เป็นแม่ใครไม่ได้หรอกค่ะ เป็นศิลปินตัวเอง ไม่เป็นตัวแม่ (ยิ้ม) หนูก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นศิลปินเฉยๆ พอทุกครั้งที่หนูได้จับไมค์ได้ขึ้นเวทีหรือแม้กระทั่งได้ร้องเพลง หนูรู้สึกว่าหนูอาจจะไม่ได้เป็นคนเก่งร้องขนาดนั้น แต่หนูรู้สึกว่า signature ของหนูมันคือจิตวิญญาณ ที่อยากทำให้คนอื่นพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามแม้ว่าหนูจะไม่ได้ดีแบบนั้นก็ตาม แต่ว่าหนูแค่อยากให้ทุกอย่างในตัวหนูช่วยเอ็มพาวเวอร์ให้ทุกคนค่ะ”

เรามีคนรักมีคนซัพพอร์ตแล้วรองานเราเยอะเนี่ยกดดันไหม?

“มันไม่กดดันแต่มันรู้สึกว่าอยากทำเพื่อคนอื่น อยากทำให้มันดีขึ้นเพราะว่าเขารอฟังอยู่ ก็ต้องขอบคุณทุกคนที่ทำให้หนูยังอยู่ตรงนี้ได้เพราะว่าการซัพพอร์ตของแฟนๆ ก็พยายาม อยู่อย่างมีความสุขทุกๆวันเพื่อมีแรงบันดาลใจทำผลงานใหม่ๆทุกวัน แค่นั้นคือคุ้มค่าที่เกิดมาแล้วค่ะ”

ทุกวันนี้อะไรที่ทำให้ชีวิตเราใจฟู?

...

“เพลงมันง่ายมากเลย คือมันมีแต่มันมีแต่งาน มีแค่เพลงกับงานก็คือเพลง สิ่งที่ทำมันคือสิ่งเดียวกับสิ่งที่รักไง มากสุดก็หมา แค่นี้เลย เหมือนอยู่เพื่อดนตรี ก็ดนตรีสร้างชีวิตอีกหลายๆคนรอบตัวเรา ไม่ใช่แค่เรา อาจจะเป็นทีมงานเรา รุ่นน้องเรา รวมถึงดนตรีก็สร้างชีวิตให้ชีวิตใหม่ของเรา ดนตรีแสนดีกับหนูมาตลอดทั้งชีวิตค่ะ เราก็จริงใจกับเค้ากลับเพื่อเหมือนตอบแทนในสิ่งที่เค้าหาเลี้ยงเรามาตลอดค่ะ”.