
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังคาดว่า การใส่เงินเพิ่มทุนเพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นในธนาคารแห่งใหม่ ที่เกิดจากการควบรวมกิจการ ระหว่างธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) กับธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) จะทำให้ธนาคารแห่งใหม่มีศักยภาพ เพราะต้นทุนการดำเนินงานจะลดลง ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้กระทรวงการคลังได้ประโยชน์จากการลงทุน และการใส่เงินเพิ่มทุนครั้งนี้ ทำให้ต้นทุนการลงทุนเฉลี่ยของกระทรวงการคลังที่ลงทุนในทหารไทยอยู่ที่ 3 บาทต้นๆต่อหุ้น จากเดิมที่ลงทุนไปประมาณ 3.80 บาทต่อหุ้น
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า แม้ว่าการลงทุนในทหารไทย ไม่ใช่การ ลงทุนในหุ้นยุทธศาสตร์เหมือนในอดีต แต่หากไม่รักษาสัดส่วนการถือหุ้นไว้ จะทำให้หุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่ลดลง และเกิดความเสียหาย ถ้ากระทรวงการคลังไม่รักษาสิทธิ์จะกลายเป็นว่าเราเป็นผู้ทำความเสียหาย แต่หากเพิ่มทุนแล้วราคาดีขึ้นก็พร้อมจะขาย เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นลง หากมีต่างชาติหรือนักลงทุนกลุ่มใหญ่สนใจการลงทุนในทหารไทย ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่จำเป็นต้องลงทุน ครั้งที่แล้วที่ลงทุนไปก็เพื่อรักษาความมั่นคงของสถาบันการเงิน ไม่เช่นนั้นจะเกิดความวุ่นวาย แต่ครั้งนี้ ถ้าไม่รักษาสิทธิ์ หุ้นจะถูกลดสัดส่วนลง เราก็จะกลายเป็นผู้ทำความเสียหาย
“ขณะนี้เรื่องดังกล่าว ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบทางบัญชี อาจไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้ หากรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมา ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ ถ้ารัฐบาลใหม่บอกว่า จะไม่เพิ่มทุนจำนวนหุ้นก็จะลดลง ซึ่งต้องอธิบายให้ได้ว่าทำไม ถึงปล่อยให้จำนวนหุ้นลดลง รวมทั้งยังไม่รู้ว่าจะตกลงกันได้เรื่องหรือไม่อย่างไร ซึ่งการตกลงควบรวมกิจการ เป็นเพียงกรอบเบื้องต้นว่า กระทรวงการคลังจะเอาด้วยหรือไม่”.