วันพรุ่งนี้ คณะกรรมการร่วมโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย–จีน จะมีการประชุมที่ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ประเด็นสำคัญที่คุยกันครั้งนี้คือ ไทยจะกู้เงินจากธนาคารเอ็กซิมจีน 1.66 แสนล้านบาท เพื่อนำมาก่อสร้าง โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย–จีน ซื้อระบบเดินรถและขบวนรถไฟความเร็วสูงจากจีน โดย ครม.ได้แก้ไขมติ ครม.เดิมที่กำหนดให้กู้เงินในประเทศเท่านั้น เป็น กู้เงินจากต่างประเทศได้ ถือเป็นการ “แหกตาประชาชน” หรือไม่ ผมไม่อาจทราบได้ เพราะมติ ครม.เดิมของรัฐบาลชุดนี้กำหนดให้ใช้เงินกู้ไทย เพื่อแก้ข้อครหาว่ารัฐบาลเอื้อประโยชน์ให้จีนแต่ มติ ครม.ที่แก้ไขใหม่ สองสัปดาห์ก่อน กลับหนักยิ่งกว่าเก่าเหตุผลที่ ครม.เปลี่ยนเงินกู้จากไทยไปกู้จาก ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของรัฐบาลจีน (CEXIM) รัฐบาลให้เหตุผลว่า หากกู้ในประเทศระยะเวลา 20 ปี ดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 2.86% หากเป็น CEXIM ดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 2.3% เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ถูกมากเมื่อเทียบกับสถาบันการเงินต่างประเทศอื่นๆท่านผู้อ่านคงจำได้ ช่วงต้นโครงการ จีนเคยเสนอเงินกู้ให้ไทยคิดดอกเบี้ย 2.3% แต่รัฐบาลไทยเห็นว่าแพงกว่าดอกเบี้ยธนาคารในประเทศ จึงได้เจรจาต่อรองแต่จีนไม่ยอม แม้จะซื้อสินค้าจากจีนทั้งโครงการก็ตาม ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงว่า จะไม่กู้เงินจากจีนแล้ว จะใช้งบประมาณและเงินกู้ของไทยเอง ไม่รู้ลืมหรือยังที่น่าสังเกต ก็คือ ไม่เคยมีข่าวกระทรวงการคลังขอเงินกู้จากธนาคารในประเทศสำหรับโครงการนี้ ไม่ว่า ธนาคารของรัฐ หรือ ธนาคารพาณิชย์ แต่จู่ๆ กลับมีมติ ครม.แก้ไขมติ ครม.เดิมให้กู้เงินจากจีนได้ อ้างว่า ดอกเบี้ยไทยแพงกว่าดอกเบี้ยจีนการกลับมติ ครม.แบบตาลปัตรของ รัฐบาล คสช. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ อาจนำประเทศไทยไปสู่ “กับดักหนี้จีน” จาก โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง Belt and Road เส้นทางสายไหมใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 ที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสถาบันการเงินโลก รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ก็เป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ของเส้นทางขยายอำนาจของจีนเมื่อต้นเดือนมกราคมนี้เอง สถาบันวิจัย ISEAS-ยูซูฟ อิสฮัด ของสิงคโปร์ได้เปิดเผยผลสำรวจความเห็นของ นักวิชาการ นักการศึกษา นักธุรกิจ ข้าราชการ สื่อมวลชน กว่าพันคนจาก กลุ่มประเทศอาเซียน ถึง ยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 70% มีความเป็นห่วง การเจรจาระหว่าง “รัฐบาลของตัวเองกับจีน” อาจทำให้ประเทศชาติต้อง “ติดกับดักหนี้จีน” จากการร่วมลงทุนธุรกิจกับจีน โดยผู้ตอบจาก มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และ ไทย มีความเป็นห่วงในเรื่องนี้มากที่สุดปีที่แล้ว Center for Global Development องค์กรที่ไม่แสวงกำไร ก็ได้เปิดเผย ผลการศึกษาประเทศที่อาจจะกู้เงินสำหรับโครงการ Belt and Road ของจีน ทั้งหมด 68 ประเทศ พบว่ามี 8 ประเทศที่น่าจะมีความเสี่ยงจากการแบกรับภาระหนี้ที่เกิดขึ้นจากโครงการ B&R ที่เชื่อมต่อกับจีน คือ ลาว ปากีสถาน จิบูตี มัลดีฟส์ มองโกเลีย มอนเตเนโกร ทาจิกิสถาน คีร์กีซสถาน ในอนาคตถ้าไทย กู้เงินจากจีน 4-5 แสนล้านบาท เพื่อสร้างรถไฟความเร็วสูงจาก หนองคาย-นครราชสีมา-กรุงเทพฯ อาจมี “ประเทศไทย” อยู่ในบัญชีประเทศที่ตกอยู่ใน “กับดักหนี้จีน” ด้วยก็ได้บทเรียนจาก ศรีลังกา ก็มีแล้ว ศรีลังกากู้เงินจากจีนเพื่อสร้างท่าเรือ Hambantota ที่อยู่ใน เส้นทางสายไหมใหม่ทางทะเล ไม่มีเงินใช้หนี้และดอกเบี้ย รัฐบาลศรีลังกาต้องยกท่าเรือแห่งนี้ให้หน่วยงานของรัฐบาลจีน China Merchant Port Holding ไปบริหารแทนเพื่อใช้หนี้ ในอนาคต รถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ก็คงหนีไม่พ้นเช่นเดียวกันถ้า รัฐบาลจะก่อหนี้ 4-5 แสนล้านบาท กับดอกเบี้ยอีกมหาศาล เพื่อความสุขของคนไทยทั้งประเทศ ประชาชนคงรับได้ แต่ครั้งนี้ไปก่อหนี้มหาศาลแบบ “อัฐยายซื้อขนมยาย” เพื่อ รองรับการแผ่อำนาจของจีน โดย ใช้เงินภาษีคนไทยทั้งประเทศ รับยากครับ.“ลม เปลี่ยนทิศ”