สัปดาห์ที่แล้ว เราได้รู้จักสาเหตุและอาการปวดท้องโรคกระเพาะอาหารกันไปแล้ว สัปดาห์นี้ยังมีความรู้เรื่องการวินิจฉัย การรักษา และการป้องกันอาการนี้กันต่อ (ปวดท้องแบบไหนที่เรียกว่า “ปวดท้องโรคกระเพาะอาหาร” (ตอน 1))
การวินิจฉัยแผลในกระเพาะอาหาร
การตรวจพยาธิสภาพหรือรอยโรคในกระเพาะอาหารทำได้โดยการตรวจส่องกล้องกระเพาะอาหาร ตามคำแนะนำของแพทย์เฉพาะทาง
การวินิจฉัยโรคกระเพาะอาหารอักเสบติดเชื้อแบคทีเรีย (Helicobacter pylori)
การวินิจฉัยว่าคนไข้ติดเชื้อแบคทีเรียหรือไม่ สามารถทำได้หลายวิธี อาทิ
• การตรวจลมหายใจ โดยให้คนไข้งดน้ำ งดอาหาร 6-8 ชั่วโมง แล้วมาเป่าลมหายใจลงในถุง จากนั้นก็นำไปตรวจ ประมาณ 20 นาทีก็ทราบผลว่า กลิ่นลมหายใจของคุณมีแบคทีเรียหรือไม่
• การตรวจอุจจาระ ทำโดยการเก็บอุจจาระมาตรวจว่ามีเชื้อแบคทีเรียหรือไม่
• การเก็บเนื้อเยื่อในกระเพาะอาหาร ทำโดยการส่องกล้อง ข้อดีของการตรวจด้วยวิธีนี้ จะทำให้ทราบว่ามีแผลในกระเพาะอาหารหรือไม่ และสามารถตรวจหาเชื้อแบคทีเรียไปพร้อมกันด้วย
...
การรักษา
จากข้อมูลพบว่ามีคนไทยมีอาการปวดท้องโรคกระเพาะอาหารแบบที่ไม่มีแผลในกระเพาะอาหารมากถึง 80% การรักษาแบ่งเป็นการรักษาด้วยยาและไม่ใช้ยา
การรักษาด้วยยา
พิจารณาสั่งยาตามลักษณะอาการปวดของคนไข้ ถ้าคนไข้มีอาการที่บ่งว่ามีกรดในกระเพาะอาหารมาก แพทย์จะให้ยาลดกรด ถ้ามีการบีบตัวน้อย ก็ให้ยาช่วยย่อยอาหาร ยาขับลม ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาคลายเครียด เป็นต้น
การรักษาโดยไม่ใช้ยา
• กินอาหารให้เป็นเวลา
• หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด ของมัน ของทอดต่างๆ เพราะทำให้กระเพาะอาหารบีบตัวได้น้อย หลีกเลี่ยงอาหารหมักดองต่างๆ เพราะทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
• สังเกตตัวเองว่า ถ้ากินอาหารอะไรแล้วมีอาการปวดท้องทุกครั้ง เมื่อเลิกกินแล้ว ก็ไม่ปวดท้อง แสดงว่าควรหลีกเลี่ยงกินอาหารชนิดนั้น
• ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
• พักผ่อนให้เพียงพอ
การป้องกัน
@ ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง การล้างมือบ่อยๆ จะสามารถป้องกันได้หลายเชื้อ
@ หลีกเลี่ยงการกินอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด โดยควรกินน้ำที่ปรุงสุก อาหารที่ทำเสร็จใหม่ๆ
@ หลีกเลี่ยงการกินอาหารจากมือคนอื่น
@ ลดการกินอาหารที่มีรสจัด เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ได้รู้จักอาการปวดท้องกระเพาะอาหารกันไปแล้ว หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการปวดท้องจุกเสียด แน่น เรอบริเวณช่วงบนแถวๆ ลิ้นปี่ และปวดมานานกว่า 4 สัปดาห์ ยิ่งในกรณีที่อายุเกิน 50 ปี แล้วมีอาการปวดแบบนี้เป็นครั้งแรก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุทันที
ส่วนในคนไข้ที่อายุไม่มาก ก็ปรึกษาแพทย์ และปรับพฤติกรรมของตนเอง ดังที่ได้แนะนำไปแล้วข้างต้น โดยส่วนใหญ่แพทย์จะให้ยาลดกรด และยากระตุ้นการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารประมาณ 2-4 สัปดาห์ หลังจากกินยาแล้ว อาการต้องดีขึ้น หากไม่ดีขึ้น ต้องไปพบแพทย์ซ้ำอีก เพื่อส่องกล้องดูว่าติดเชื้อแบคทีเรียหรือไม่ ถ้ามีการติดเชื้อ แพทย์ก็จะให้ยาฆ่าเชื้อ คนไข้ก็จะไม่มีอาการปวดท้องกระเพาะอีก
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ ก็มีโอกาสปวดท้องโรคกระเพาะได้ทั้งนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่จะทำให้มีอาการปวดท้อง เพียงเท่านี้คุณก็ห่างไกลจากโรคนี้แล้วแหละค่ะ
...
--------------------------------------------------------------
แหล่งข้อมูล
พญ.วราภรณ์ ปัญจวงศ์ สาขาอายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล