เรื่องง่ายๆ ความหมายดีๆ (สำนักพิมพ์อินสไปร์ เครือนานมี) เรื่องที่ 51 ความจริงที่พูดไม่ครบ คุณสุริยเทพ ไชยมงคล ผู้รวบรวมเล่าแบบนิทาน พระเอกของเรื่องเป็นศาสดาพยากรณ์ ศาสนาสำคัญวันหนึ่งท่านศาสดาเดินทางไปเผยแผ่ศาสนาในเมืองใหญ่ มีผู้ศรัทธามานั่งฟังการบรรยายธรรมของท่านเป็นจำนวนมากจบการบรรยาย ผู้ศรัทธาคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหา“ท่านรู้หรือไม่ เมืองนี้แย่เต็มที” เขาเริ่มต้น“คนทั้งเมืองไม่เพียงแต่โง่ยังดื้อ ไม่มีใครยอมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ท่านพยายามสอนอย่างไร ก็ไม่มีทางแก้ไขจิตใจที่หยาบกระด้างของพวกเขาได้หรอก”“เจ้าพูดถูก” ศาสดาพยากรณ์ตอบสั้นๆครู่ต่อมา ผู้ศรัทธาอีกคนก็เดินเข้ามา คราวนี้ประเด็นที่พูดเปลี่ยนไป“ท่านศาสดา ท่านโชคดีมาก ที่ได้ถึงเมืองที่มีแต่สิ่งดี ชาวเมืองนี้สุภาพอ่อนโยน ทุกคนเปิดใจรับ และชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และที่สำคัญ ทุกคนปรารถนาที่จะฟังคำสอนของท่าน”“เจ้าพูดถูกแล้ว” ไม่เพียงท่านพูดคำเดิม ท่าทีศาสดาสงบนิ่ง เหมือนเดิมที่จริง ก็เป็นปรากฏการณ์ปกติธรรมดา ที่ศาสดาจะสนทนาด้วยดีกับผู้ศรัทธาทุกคน แต่ครั้งนี้ สาวกผู้ใกล้ชิดตามติดท่านศาสดา ได้ยินแล้วทนไม่ได้“ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ “เขาว่า” ท่านศาสดาบอกคนแรกว่า พูดถูก และต่อมาก็เห็นด้วยกับคนที่สอง ทั้งๆที่ความคิดเห็นของคนทั้งสองต่างกันแบบสุดขั้ว”ศาสดาพยากรณ์ฟังอย่างสงบนิ่ง ขณะสาวกใกล้ชิดทิ้งไพ่ใบสุดท้าย“แท้จริงแล้ว ท่านเห็นด้วยกับความคิดใดกันแน่”ประโยคท้าย ทำให้ศาสดาพยากรณ์หัวเราะเบาๆ แล้วบอก“ทุกคนล้วนแต่ใช้สิ่งที่เขาคิดมาเป็นกรอบในการมองโลก แล้วทำไมข้าต้องไปโต้แย้งกับเขาด้วยเล่า พวกเขาล้วนมีเหตุผลคนหนึ่งเห็นด้านมืด อีกคนกลับเห็นด้านสว่าง เจ้าเห็นว่าในสองคนนี้ มีใครพูดผิดหรือ?”เมื่อเห็นว่าสาวกเริ่มเข้าใจ ศาสดาพยากรณ์ก็บอกต่อ “ชาวเมืองนี้ ก็เหมือนกับชาวเมืองอื่นๆ คือมีทั้งคนดีและคนไม่ดีทั้งสองคนนี้ ไม่มีใครพูดผิด เพียงแต่เขาพูดไม่ครบ”นิทานจบแค่นี้ มีคำอธิบายความหมายดีๆต่อ คนส่วนใหญ่ ชอบแสดงความคิดเห็นต่อปัญหาต่างๆ เพื่อแสดงว่าเป็นคนฉลาด พวกเขามีความสุขที่ได้ออกความเห็นโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่สุดท้ายมักได้ผลตรงกันข้ามเพราะยิ่งแสดงความฉลาดออกมามากเท่าไร ยิ่งถูกมองว่าฉลาดน้อยลงมากเท่านั้นผมอ่านเรื่องนี้แล้วได้ความคิด จะมีก็แต่คนที่มีความคิดเหนือคนธรรมดา มองสิ่งต่างๆอย่างรอบด้าน จึงจะเป็นศาสดาพยากรณ์ได้มีคนมากมายในโลก มักใช้เงื่อนไขตัวเองในการมองปัญหา เป็นทหารก็ใช้สายตาแบบทหาร มองเห็นสิ่งต่างๆแบบทหาร ซึ่งเป็นด้านเดียว ละเลยแง่มุมต่างๆของเหตุการณ์อีกหลายๆด้านทำให้ภาพที่เห็นไม่ถูกต้องกับความเป็นจริงคนที่อยากเห็นป่า ก็ต้องขึ้นไปยืนบนยอดเขา เพราะถ้ายังยืนอยู่ในป่า ก็จะเห็นแต่ต้นไม้ทีละต้นถ้าหลงป่า ก็มักหาทางออกจากป่าไม่ได้ วนเวียนไปมาอยู่แถวๆโคนต้นไม้ ห้าปีมานี่ก็ยังไปไม่ถึงไหน ถ้าหลงอยู่อีกนานถึงสิบยี่สิบปี บ้านเมืองจะเป็นยังไงก็ไม่รู้.กิเลน ประลองเชิง