
บอร์ดบีโอไอ 25 ก.ค.นี้ เตรียมอนุมัติส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า เพิ่มอีก 2 ราย รายละไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท จากที่อนุมัติไปแล้ว 3 ราย รวม 20,000 ล้านบาท เลขาบีโอไอ เผยมีสัญญาณที่ดี จะมีการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าระยะยาวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในวันที่ 25 ก.ค.นี้ จะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณา สนับสนุนการลงทุนสำหรับภาคเอกชนที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) อีก 2 ราย โดย มีมูลค่าการลงทุนรายละไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท รวมกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งหนึ่งในสองรายที่ยื่นขอส่งเสริมการลงทุนคือบริษัท ฮอนด้า จำกัด
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบีโอไอได้มีการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในไทยตามมาตรการส่งเสริมใหม่ ที่ส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายยานยนต์แห่งอนาคต แล้ว 3 ราย ได้แก่ โตโยต้า เบนซ์ และบีเอ็มดับเบิลยู โดยรายแรกคือบริษัท โตโยต้า มีมูลค่าการลงทุน 20,000 ล้านบาท ในโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าประเภทปลั๊กอิน-ไฮบริด ที่ผ่านความเห็นชอบของบอร์ดบีโอไอชุดใหญ่ไปแล้ว ในปี 2562 ก็จะเห็นรถยนต์รุ่นใหม่ของโตโยต้า ที่ผลิตในไทย ส่วนบีเอ็มดับเบิลยูและเบนซ์มีขนาดการลงทุนไม่เกิน 2,000 ล้านบาท คณะอนุกรรมการบีโอไอที่ตนเองเป็นประธาน ได้อนุมัติไปแล้ว ไม่ต้องเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ดบีโอไอชุดใหญ่
ล่าสุดได้มีสัญญาณที่ดีของการลงทุนรถอีวี ที่จะลงทุนและพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ระยะยาวในประเทศไทย เพราะตามเงื่อนไขที่บีโอไอกำหนด คือเอกชนที่ขอส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอต้องมีการลงทุน ต้องมีการผลิตชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้าอย่างใดอย่างหนึ่งจาก 13 รายการ ที่กำหนดไว้ภายใน 3 ปี หลังจากได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และการถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ในประเทศไทย และในส่วนของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ได้รับภาษีสรรพสามิตอัตราพิเศษ 50% คือลดจาก 8% เหลือ 4% ดังนั้น ค่ายรถยนต์ทั้ง 5 ราย ที่ยื่นขอส่งเสริมการลงทุน เลือกที่จะลงทุนเกี่ยวกับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ที่มีการลงทุนทั้งรูปแบบ ของการผลิตตัวแบตเตอรี่และเซลล์ไฟฟ้า ที่เป็นส่วนที่รองรับการเติบโตของตลาดรถอีวีในอนาคต
“ปกติแล้วคนยื่นขอผลิตรถอีวี จะจับมือเป็นพาร์ตเนอร์กันในการผลิต การผลิตรถอีวีจะก่อให้เกิดซัพพลายเออร์เป็นจำนวนมาก และในส่วนของค่ายรถต่างๆแม้มีการเลือกผลิตแบตเตอรี่แล้ว แต่ก็สามารถผลิตชิ้นส่วนอื่นๆเพิ่มเติมได้ เพราะเงื่อนไขของบีโอไอให้สิทธิประโยชน์มากขึ้น หากมีการผลิตชิ้นส่วนเพิ่มขึ้น”
สำหรับกรณีที่ค่ายรถยนต์สอบถามเกี่ยวกับการนับจำนวนผลิตรถยนต์รวมกัน ระหว่างรถยนต์ไฟฟ้ากับรถยนต์อีโคคาร์ หรือรถยนต์ไฮบริด สามารถทำได้เช่นกัน โดยเงื่อนไขคือให้มีการผลิตรถยนต์ทั้งสองประเภทรวมกันไม่น้อยกว่า 100,000 คัน ขณะที่การขออนุมัติส่งเสริมการลงทุนรถอีวี เป็นการขยายกำลังการผลิตในสินค้าใหม่ ที่ต้องนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ แต่ใช้สถานที่
ในโรงงานเดิม
นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ค่ายรถยนต์ต่างๆเริ่มมีการเปลี่ยนเทค-โนโลยีไปให้ความสำคัญกับการผลิตรถอีวีมากขึ้น ส่วนสำคัญของการพัฒนา คือแบตเตอรี่ที่มีราคาแพง เพราะมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนให้มีการพัฒนาแบตเตอรี่ ลิเทียม ไอออนครบวงจร โดยพัฒนาตั้งแต่เซลล์แบตเตอรี่ไปจนถึงการประกอบแบตเตอรี่ ในการทำแล็บทดลองและวิจัยในประเทศไทย ล่าสุด ได้หารือกับบริษัท โตโยต้าแล้ว เห็นด้วยที่จะมีการลงทุน เพื่อทำให้เป็นจุดเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เห็นได้ชัดใน 2-3 ปีนี้.