ข้อมูลทางวิชาการเหตุผลสนับสนุนการยกเลิกพาราควอตโดยประชาคมวิชาการและเครือข่ายนักวิชาการ (พฤษภาคม 2561)คำถาม 1 : พาราควอตมีพิษเฉียบพลันปานกลางจริงหรือไม่? EPA ได้ประมาณค่า LD50 ในมนุษย์ เท่ากับ 3-5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว (EPA. 2013. Recognition and Management of Pesticide Poisonings 6th Edition) ซึ่งต่ำกว่าค่า LD50 ในหนูทดลอง 30-50 เท่า และ EPA ได้ระบุไว้บนหน้าเว็บไซต์ว่าพาราควอตมีพิษสูงต่อมนุษย์ แค่จิบหนึ่งก็ถึงแก่ชีวิตได้ โดยไม่มียาถอนพิษสอดคล้องกับรายงานวิจัยที่พบว่า อัตราการตาย (fatality) ของผู้ป่วยที่ได้รับสัมผัสสารพาราควอต มีอัตราตายมากกว่าผู้ป่วยที่ได้รับสารที่อยู่ในคลาส IB (มีพิษเฉียบพลันสูง) เช่น สารเมโทมิล 3 เท่า และคาร์โบฟูราน 42.7 เท่า (Dawson, et al., 2010) ทั้งสองสารนี้ประเทศไทยไม่อนุญาตให้มีการขึ้นทะเบียนแล้วแม้ว่า องค์การอนามัยโลกจะจัดให้พาราควอตเป็นสารอันตรายปานกลาง (Moderately hazardous) แต่ก็มีหมายเหตุประกอบว่า “It has serious delay effect if absorb and it relatively low hazard in normal use but may be fatal if the concentrated product is taken by mouth or spread on the skin”ประเทศที่ยกเลิกการใช้ 25 จาก 53 ประเทศ ให้เหตุผลว่า เป็นสารที่มีพิษเฉียบพลันสูง เช่น สวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ กัมพูชา เป็นต้นคำถาม 2 : พาราควอตทำให้เกิดโรคพาร์กินสันหรือไม่? แม้ว่าโมเลกุลของพาราควอต มีประจุ ซึ่งตามทฤษฎีแล้วจะซึมผ่านผนังเซลล์ไม่ได้ แต่มีรายงานที่ชี้ให้เห็นว่าพาราควอตเข้าสู่สมองผ่านเยื่อกั้นสมอง (blood-brain-barrier; BBB) และเข้าสู่เซลล์โดปามีน โดยผ่านทางตัวนำส่ง (transporter) ต่างๆ ได้แก่ Dopamine transporter (DAT) system (Rappold et al., 2011), Neutral amino acid transporter system (Chanyachukul et al., 2004; McCormack, et al., 2003; Shimizu et al., 2001), Organic cation transporter 3 (Oct3) (Rappold et al., 2011) และ Choline-uptake system (Vilas-Boas et al., 2014)และมีการรายงานการค้นพบกลไกที่พาราควอตทำลายเซลล์ประสาท จากการสร้างอนุมูลอิสระพิษมากขึ้น (Reczek C. et al., 2017. A CRISPR screen identifies a pathway required for paraquat-induced cell death. Nature chemical biology. published online : 23 October 2017.)แม้ว่า APVMA (2016) ได้ทบทวนข้อมูลและสรุปว่า MPTP เมื่อเข้าสู่เซลล์ประสาทจะมีกลไกที่ไปรบกวนกระบวนการ oxidative phosphory-lation แต่พาราควอตจะเข้าไปที่ cytoplasm จึงไม่เกิดกระบวนการดังกล่าว แต่งานวิจัยของ Martinez และ Greenamyre พบว่าพาราควอตสามารถเข้าสู่เซลล์ประสาทโดปามีน และรับอิเล็กตรอนจาก complex I (c I) และทำหน้าที่เป็น redox cycler ในการทำให้เกิดภาวะเครียดออกซิเดชัน ส่งผลให้เกิด mitochondrial dysfunction และการตายของเซลล์ประสาทโดปามีนได้เช่นเดียวกันกับ MPP+ (เปลี่ยนรูปมาจาก MPTP) และ rotenone ดังนั้น จากกลไกข้างต้นแสดงให้เห็นว่าพาราควอตสามารถเข้าสู่เซลล์ประสาทโดปามีน ทำให้เกิด oxidative phosphory-lation และ mitochondrial dysfunction ที่นำไปสู่การตายของเซลล์ประสาทโดปามีนเช่นเดียวกันกับ MPTP (Martinez, T.N., Greenamyre, J.T. Toxin models of mitochondrial dysfunction in Parkinson’s disease. Antioxid. Redox Signal. 2012;16(9):920-34.)รายงานจากการสังเคราะห์งานวิจัยทั้งหมดอย่างเป็นระบบ (meta analysis) ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Neurology รวบรวมงานวิจัยจากการศึกษาทั้งแบบ cohort และ case-control จำนวนทั้งหมด 104 เรื่อง ยืนยันการสัมผัสสารพาราควอตมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน (Gianni and Emanuele. 2013. Exposure to pesticides or solvents and risk of Parkinson disease. Available from : https://doi.org/10.1212/WNL.0b013e318294b3c8) อีกทั้งมีงานวิจัยทางระบาดวิทยาในหลายประเทศที่ชี้ให้เห็นว่าพาราควอตเพิ่มโอกาสการเป็นพาร์กินสัน 67-470% (Liou et al., 1997; Firestone et al., 2005; Tanner et al., 2009)กลุ่มประเทศสหภาพยุโรปยกเลิกการใช้โดยมีสาเหตุนี้ประกอบด้วย และประเทศที่ยังจำกัดการใช้ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย สมาคมพาร์กินสันเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกสารพาราควอตโดยเร็ว (https://www.michaeljfox.org/files/Paraquat_letter_FINAL.pdf)คำถาม 3 : หากใส่อุปกรณ์ป้องกันตัวหรือจำกัดการใช้อย่างเข้มงวดก็จะไม่มีผลต่อสุขภาพจริงหรือ? พาราควอตเป็นสารที่มีความเสี่ยงสูงมากเกินกว่าที่จะนำมาใช้งานได้อย่างปลอดภัยแม้จะมีการป้องกันที่ดีก็ตาม มีรายงานประมาณการจากการสัมผัสพาราควอตของ EU พบว่าการสัมผัสพาราควอตจากการใช้เครื่องพ่นแบบสะพายหลังสูงมากกว่าระดับมาตรฐาน (AOEL) ถึง 60 เท่า กรณีสวมอุปกรณ์ป้องกัน และเกิน 100 เท่า หากไม่ได้สวม (EC, 2002)ประเทศบราซิลที่ปัจจุบันกำหนดให้การใช้พาราควอตทำได้เฉพาะการฉีดพ่นโดยรถแทรกเตอร์ที่มีห้องโดยสารปิดมิดชิด แม้กระนั้นจากการประเมินของ ANVISA พบว่า พาราควอตมีพิษเฉียบพลันร้ายแรง มีรายงานผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ทั้งยังสัมพันธ์กับการก่อโรคพาร์กินสัน และแม้จะมีเครื่องป้องกันที่ดีก็ตาม แต่ก็ไม่ทำให้สามารถรับประกันอันตรายที่เกิดกับผู้ใช้ได้ จึงกำหนดให้มีการยกเลิกการใช้ในปี 2020 (http://portal.anvisa.gov.br/documents/10181/2871639/RDC_177_ 2017_.pdf/399e71db-5efb-4b34-a344-9d7e66510bce)ในประเทศไทยเกษตรกรนิยมใช้เครื่องฉีดพ่นสะพายหลังเป็นส่วนใหญ่ (ตัวอย่างเช่น งานศึกษาของอภิมัณฑ์ สุวรรณราช และปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ ที่ จ.เลย พบมีการใช้เครื่องฉีดพ่นสะพายหลังทั้งแบบใช้มือฉีดและแบบเครื่องยนต์สูงถึง 87.15%) และ การสวมเสื้อผ้าแบบปกปิดมิดชิดก็ไม่สามารถป้องกันการสัมผัสทางผิวหนังได้ แม้ตามทฤษฎีพาราควอตไม่สามารถดูดซึมผ่านผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่บาดแผลบนผิวหนัง และบาดแผลเผาไหม้ที่เกิดจากพาราควอตเองจะทำให้พาราควอตผ่านเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว (Smith JG, 1988; Soloukides et al., 2007; Peiro et al., 2007; Lin et al., 2003)แม้แต่การสัมผัสกับพาราควอตที่ผิวหนังเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะกับพาราควอตที่มีความเข้มข้นสูง (Soloukides et al., 2007) ข้อมูลจากศูนย์พิษวิทยาโรงพยาบาลรามาธิบดีปี 2553-2559 พบอัตราการตายของผู้ป่วยในประเทศไทยที่ได้รับพาราควอตสูงถึง 46.18% (ผู้ป่วยทั้งหมด 4,223 คน ตาย 1,950 คน) มีอัตราตาย 10.2% กรณีที่ผู้ป่วยสัมผัสทางผิวหนัง 14.5% กรณีที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือไม่ตั้งใจ และ 8.2% กรณีที่เกิดจากการประกอบอาชีพและเนื่องจากสภาพอากาศร้อนของประเทศไทย จึงเป็นไปได้ยากมากที่เกษตรกรจะสวมอุปกรณ์ป้องกันที่ได้มาตรฐานเพื่อป้องกันการสัมผัสพาราควอตทางผิวหนัง ซึ่งในกรณีนี้เกณฑ์ทางจริยธรรมของ FAO เกี่ยวกับการจัดการสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (FAO 2014) ในหัวข้อ 3.6 ระบุว่า “สารเคมีใดที่เป็นอันตรายในระดับที่เกษตรกรต้องใช้เครื่องป้องกันที่อึดอัดไม่สะดวกสบาย แพง หรือไม่พร้อมที่จะนำมาใช้อย่างทันท่วงที ต้องหลีกเลี่ยงการใช้สารพิษดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เป็นการใช้ของเกษตรกรรายย่อยในประเทศเขตร้อน”.หมอดื้อ