สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) หรือ "สมเด็จโต" "หลวงปู่โต" หรือ "สมเด็จวัดระฆัง"เรื่องขรัวโตวัดระฆังฯ เล่ากันหลายเล่มสมุดไท เรื่องหนึ่ง เล่ากันว่า พระสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อเทศน์หน้าพระที่นั่ง ท่านมักเล่นภาษา ความกระแสนิยมแห่งสมัย...เช่น คำ ไมตรี เป็นไม้ตรี โอกาส เป็นโอ้กาสหรือกระทั่งตอนบอกศักราช...ฉศก ก็มักออกเสียงเป็น “ฉ้อศก”คนในราชสำนักคุ้นหูอย่างนี้ ทันทีที่ขรัวโตบอกศักราช “ฉอศก” ก็เป็นเรื่องแปลก มีเสียงหัวเราะคิกคักขณะที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงนิ่งไม่ได้แสดงปฏิกิริยาแต่ประการใดขรัวโตเทศน์จบ รัชกาลที่ 4 ทรงถวายเงินติดกัณฑ์เทศน์ 6 บาท สูงกว่าที่เคยถวายให้เทศน์กัณฑ์อื่น ทรงมีพระราชดำรัสว่า “ขรัวโต บอกศักราชว่า ฉอศก นั้น เป็นการออกเสียงภาษาไทยถูกต้องนักโยมเบื่อหูคำว่า “ฉ้อศก” มานานแล้ว ฟังแล้วรู้สึกเหมือนว่า เป็นศกของความขี้ฉ้อมดเท็จ เสียจริงๆ”มีพระราชโองการ ให้พระภิกษุ ถวายพระธรรมเทศนา ให้ออก เสียงคำว่า ฉศก เป็น “ฉอศก” มาตั้งแต่บัดนั้นเรื่องของขรัวโต มีทั้งบันทึกเป็นเอกสารราชการ มีทั้งเรื่องเล่าหลายเรื่อง แต่ที่ผมแปลกใจ เคยได้ยินคำ “ขรัวอีโต้ วัดเลียบ” แต่หาหลักฐานทางเอกสารไม่ได้ขรัวอีโต้ เป็นใคร สมณศักดิ์ อะไร อยู่วัดเลียบ จริงหรือไม่ชื่อ “ขรัวอีโต้” วัดเลียบ มากับพระเครื่อง ขนาดและแม่พิมพ์คล้ายพระรอด เนื้อดินผสมผง เรียกกันว่า พระรอดเมืองใต้ พุทธคุณเด่นทางแคล้วคลาดสร้างเมื่อ พ.ศ.2425 แตกกรุเมื่อ พ.ศ.2474 แต่ไม่มีเอกสารหลักฐานอ้างอิงมีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า เป็นพระวัดเลียบ ถูกข้อครหามีน้องสาวมานอนที่ชานกุฎิทุกคืนๆ ท่านท้าพิสูจน์ เอามีดอีโต้ อธิษฐานแล้วขว้างลงแม่น้ำ ปรากฏว่ามีดไม่จมน้ำลอยน้ำขึ้นมาเป็นที่น่าอัศจรรย์ชื่อขรัวอีโต้ลอยน้ำ ก็ลือลั่นนับแต่นั้นเรื่อง “ขรัวอีโต้” ในวงการหนังสือ ส.พลายน้อย ค้นคว้าได้มาอีกอย่าง มีพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 4 เรื่องหนึ่งว่า“บางพวกกล่าวว่า (ในสมัยกรุงแตก) พระสงฆ์รามัญรูปหนึ่ง (รอนแรมจากพม่า) กับน้องหญิงมาด้วยกันในป่า ครั้นมาถึงเมืองสยามแล้ว พระสงฆ์ทั้งปวงรังเกียจ ไม่ร่วมสังฆกรรมด้วยพระสงฆ์รามัญรูปนั้น จึงบอกว่า “ตัวบริสุทธิ์อยู่” เมื่อเวลานอนในป่า ได้วางพร้า ภาษารามัญเรียกว่า “ปะแระตะราย” เล่มหนึ่งไว้ท่ามกลาง มีแต่พร้าเป็นพยานจึงทำสัตยาธิษฐานเฉพาะต่อความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ แล้วขว้างพร้าลงไปในน้ำ พร้านั้นบันดาลลอยเห็นเป็นประจักษ์พระเจ้าแผ่นดินทรงทราบความเรื่องนี้ จึงทรงพระราชศรัทธาเลื่อมใส ตั้งพระภิกษุนั้นเป็นที่ “พระไตรสรณธัช” แล้วทรงนับถือพระสงฆ์รามัญ ซึ่งเป็นศิษย์พระไตรสรณธัชนั้นสืบมาจึงให้อาราธนาแต่พระสงฆ์รามัญ มาสวดพระปริตในพระราชวังเรื่องที่ทรงเอามาเล่านี้ ส.พลายน้อยว่า ไม่ได้ระบุว่าเกิดในวัดเลียบ และในสมัยกรุงเทพฯถ้าเกิดในสมัยกรุงเทพฯ รัชกาลที่ 4 ทรงบวชในรัชกาลที่ 2 ต้องเป็นเรื่องใหญ่ ต้องมีพระบรมราชาธิบายให้ชัดเจนกว่าที่เป็นอยู่ผมอ่านเรื่องขรัวอีโต้ทั้งสองเรื่อง ขอเดาเอาตามประสา คนรุ่นหลังตั้งใจ เอาเรื่องพระเครื่องที่พบในวัดเลียบ มาผสมกับเรื่องเล่าเก่าๆ ให้เข้าเนื้อเป็นเรื่องเดียวกันท่วงทำนองของพระเครื่อง หลายกรุ หลายวัด ก็ต้องมีเรื่องเล่าประกอบเพิ่มความขลังผมนึกถึงเรื่องนักการเมือง ถ้าไม่สังกัดพรรค ก็ลงเลือกตั้งไม่ได้ เหตุผลเดียวกัน เรื่องพระขรัวอีโต้ลอยน้ำ ยังไม่มีวัดจำพรรษา จึงต้องมีวัดให้จำพรรษา ด้วยประการฉะนี้แล.กิเลน ประลองเชิง