สาวบ้านโป่ง เป็นงง ไปเที่ยวต่างประเทศ แฟนซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมให้เป็นของขวัญวาเลนไทน์ แกะใช้แล้วแต่สภาพยังใหม่ กลับถึงไทยถูกเรียกภาษี 20,000 บาท วอนกรมศุลกากรแจงหลักเกณฑ์ให้ละเอียด...
จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก NongNang Korat โพสต์ข้อความว่า "ไหนประกาศออกข่าวทุกสื่อว่าของใช้ส่วนตัวไม่คิดภาษีไงคะ คุณศุลกากร" พร้อมภาพบทสนทนาที่แคปจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก Teetibnipa Areriyaawat ที่ได้สอบถามในกลุ่ม US THAI LIVING กรณีถูกเรียกเก็บภาษีที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองสนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากถือกระเป๋าแบรนด์เนมเป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของกฎระเบียบนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 19 มี.ค.61 ผู้สื่อข่าวผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบกับ น.ส.ตรีทิพย์นิภา อริยวัฒน หรือ กวาง อายุ 33 ปี ชาว จ.ราชบุรี เล่าว่า ได้นำกระเป๋าสะพายแบรนด์เนมยี่ห้อ ชาแนล สีเทา รุ่น LE’ BOY (เลอบอย) พร้อมเอกสารการชำระภาษีนำเข้าประเทศของกรมศุลกากร แบ่งเป็นค่าอากรขาเข้า-ปากระวาง จำนวนเงิน 15,400 บาท และค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม-ปากระวาง 4,600 บาท รวมเงิน 20,000 บาท และกระเป๋าแบรนด์เนมอีกจำนวนหนึ่ง มาให้สื่อมวลชนดูพร้อมบอกว่า ตนเป็นคนชอบสะสมกระเป๋าไม่ได้นำมาขายอย่างที่ผู้อื่นเข้าใจ
น.ส.ตรีทิพย์นิภา เล่าต่อว่า เมื่อวันที่ 3 ก.พ.61 ตนเดินทางไปเที่ยวประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ และแฟนหนุ่มได้ซื้อกระเป๋าชาแนลให้เป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ จากห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งในรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ราคาประมาณ 4,000 ยูเอสดอลลาร์ ก่อนจะใช้กระเป๋าใบนี้ใส่ของใช้ จนกระทั่งวันที่ 14 มี.ค.61 ได้เดินทางกลับประเทศไทย ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองตามปกติ กระทั่งมีเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรเข้ามาขออนุญาตตรวจสอบกระเป๋าผ่านระบบโฮโลแกรม แล้วแจ้งว่ากระเป๋าใบนี้ต้องเสียภาษีนำเข้าประเทศ ตนก็ยินดีชำระจำนวนเงิน 20,000 บาท ตามกฎระเบียบของกรมศุลกากร แล้วเดินทางกลับบ้าน
...
ต่อมาได้อ่านข้อความในเฟซบุ๊กของคนรู้จักกันที่อยู่ต่างประเทศว่า ถ้าหากนำกระเป๋ากลับมาประเทศไทยต้องเสียภาษีหรือไม่ ตนจึงตอบกลับไปว่าต้องเสีย เพราะตนเพิ่งจะชำระภาษีนำเข้ามา แล้วก็พูดคุยโต้ตอบกันตามปกติ แต่ไม่ทราบว่าผู้ใดแอบแคปเจอร์หน้าจอพูดคุยของตนไปเผยแพร่จนเป็นเรื่องราวขึ้นมา ยืนยันว่าไม่ได้ซื้อกระเป๋ามาขายแต่อย่างใด และไม่เข้าใจในเรื่องกฎหมายใหม่ อยากขอให้ทางกรมศุลกากรแจ้งรายละเอียดและอธิบายการเสียภาษีนำเข้าประเทศให้ชัดเจนมากกว่านี้ เช่น กระเป๋าที่ใช้งานแล้วมีเกณฑ์อะไรมาวัดว่าต้องเสียภาษีกี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม นายบุญเทียม โชควิวัฒน ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เคยกล่าวว่า ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ สามารถซื้อสินค้าเช่น กระเป๋า นาฬิกา รองเท้า หรือสิ่งของอื่นๆ ที่เป็นของแบรนด์เนมมาจากประเทศต่างๆ หากมีมูลค่าไม่เกิน 20,000 บาท สามารถนำเข้ามาได้โดยไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร
แต่หากสิ่งของที่ซื้อเข้ามามีมูลค่าเกิน 20,000 บาท และถึงแม้จะเป็นของชิ้นเดียวก็ตาม ผู้โดยสารจะต้องสำแดงสินค้าต่อเจ้าหน้าที่บริเวณ ช่องมีสิ่งของต้องสำแดง (Goods to Declare) หรือช่องแดง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการให้ผู้โดยสารชำระภาษีศุลกากรและภาษีมูลค่าเพิ่มตามพิกัดอัตราที่ได้กำหนดไว้ เช่น หากสินค้าเป็นกระเป๋า ผู้โดยสารจะต้องเสียภาษีศุลกากรร้อยละ 20 ของมูลค่าสินค้าที่ซื้อมา + ภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 7, สินค้าเป็นรองเท้าจะต้องเสียภาษีศุลกากรร้อยละ 30 + ภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 7, สินค้าเป็นนาฬิกา จะต้องเสียภาษีศุลกากรร้อยละ 5 + ภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 7 เป็นต้น
สำหรับกรณีที่ผู้โดยสารมีความกังวลในของใช้ส่วนตัว หรือของติดตัวผู้โดยสารที่มีมูลค่าเกินกว่า 20,000 บาท เวลาผ่านพิธีการศุลกากรแล้วจะถูกตรวจสอบหรือไม่ ผู้โดยสารสามารถแจ้งสำแดงสิ่งของเหล่านั้นที่ศุลกากรก่อนเดินทางออกนอกประเทศได้ แต่ไม่ได้เป็นการบังคับให้ต้องมีการลงทะเบียนแต่อย่างใด (อ่านต้นฉบับ คลิก)