
กกพ.ประกาศค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวด ม.ค.–เม.ย.66 ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านที่อยู่อาศัยคงเดิม 93.43 สตางค์ต่อหน่วย แต่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ คิดค่าเอฟที 190.44 สต.ต่อหน่วย หรือเฉลี่ยจ่ายรวมที่ 5.69 บาทต่อหน่วย เอกชนจี้รัฐทบทวนกระทบต้นทุนรุนแรงดันสินค้าราคาพุ่ง
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ กกพ.ได้ปรับปรุงตัวเลขค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือนม.ค.-เม.ย. 2566 ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อลดผลกระทบต่อภาคประชาชนและ วันที่ 14 ธ.ค. ได้สรุปผลการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าตามแนวทาง กพช.ส่งผลให้ค่าเอฟทีงวดใหม่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม
ประกอบด้วย 1.กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านที่อยู่อาศัย (ใช้ไฟไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน) จะมีอัตราค่าเอฟที เรียกเก็บคงเดิมที่ 93.43 สตางค์ (สต.) ต่อหน่วย หรือคิดเป็นค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (รวมค่าไฟฐาน) อยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย และ 2.กลุ่มผู้ใช้ไฟประเภทอื่นๆ อาทิ กิจการขนาดเล็ก กิจการขนาดกลาง กิจการขนาดใหญ่ โรงแรม โรงงานอุตสาหกรรม ผู้ใช้ไฟฟ้าชั่วคราว อาทิ บ้านพักอาศัย สถานประกอบการ อาคารสำนักงานที่อยู่ระหว่าง ก่อสร้าง ค่าเอฟทีจะอยู่ที่ 190.44 สต.ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานจะอยู่ที่ 5.69 บาทต่อหน่วย หรือปรับขึ้น 20.5%
ทั้งนี้ มติ กพช.เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้กำหนดให้จัดสรรก๊าซธรรมชาติจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าสำหรับประเภทบ้านที่อยู่อาศัยลำดับแรกในปริมาณที่ไม่เพิ่มภาระอัตราค่าไฟฟ้าจากปัจจุบัน และให้บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับไปบริหารจัดการผลกระทบราคาก๊าซธรรมชาติต่อค่าไฟฟ้า โดยให้ ปตท. คิดราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) และผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ในระดับราคาเดียวกับที่ใช้ประมาณการค่าไฟฟ้าตามสูตรปรับอัตราค่าเอฟที ตั้งแต่เดือนที่ กพช. มีมติเป็นต้นไป ขณะเดียวกัน ยังให้ ปตท.นำส่วนต่างของราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซธรรมที่เรียกเก็บดังกล่าวไปทยอยเรียกเก็บคืนในการคำนวณค่าเอฟทีในรอบถัดไป ตามแนวทางดังนี้
1.ให้ ปตท.ทบทวนราคาก๊าซธรรมชาติใหม่ให้สอดคล้องกับมติ กพช. และกระทรวงพลังงาน เช่น เพิ่มการใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตา โดยจากเดิมใช้แอลเอ็นจี คิดเป็น 44% ลดลงเหลือ 38% รวมทั้งให้เพิ่มก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยใช้ผลิตไฟฟ้า เป็น 45% จากเดิม 40% รวมทั้ง ให้ ปตท. ปรับสมมติฐานราคานำเข้าแอลเอ็นจีสปอต (LNG Spot) หรือราคาตลาดจรอ้างอิง ซึ่งทำให้ประมาณการราคา Pool Gas หรือการซื้อขายก๊าซธรรมชาติรวมลดจาก 552 บาทต่อล้านบีทียูเป็น 493 บาทต่อล้านบีทียู โดยแบ่งก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าให้บ้านอยู่อาศัยก่อนในราคา 238 บาทต่อล้านบีทียู และจัดสรรก๊าซจากอ่าวไทยส่วนที่เหลือรวมกับก๊าซจากเมียนมา และแอลเอ็นจี ให้ผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติรายอื่นๆในราคา 542 บาทต่อล้านบีทียู
2. ให้ กฟผ. ปรับสมมติฐานราคาเชื้อเพลิง โดยปรับการคำนวณเอฟทีใหม่โดยใช้ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยในราคา 238 บาทต่อล้านบีทียูแทน ทดแทนราคาก๊าซธรรมชาติเดิมสำหรับการคิดค่าเอฟทีกลุ่มบ้านอยู่อาศัยและใช้ราคาก๊าซธรรมชาติส่วนที่เหลือในราคา 542 บาทต่อล้านบีทียูในการคิดค่าเอฟทีให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ 3. กกพ.ได้พิจารณาภาระการเงินและภาระหนี้สินสะสมของ กฟผ. ให้มีการทยอยจ่ายคืนหนี้เอฟทีคงค้าง โดย กฟผ.ขอเสนอให้เฉลี่ยยอดหนี้ ณ เดือน ส.ค.ที่ผ่านมาจำนวน 122,257 ล้านบาท โดยเฉลี่ยการเรียกเก็บไปเป็นเวลา 2 ปี
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ค่อนข้างผิดหวังกับมติ กกพ.อย่างแรงเพราะคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ได้ส่งสัญญาณไปแล้ว ว่าหากค่าไฟฟ้าปรับขึ้นสูงมากเช่นนี้ จะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการทั้งโรงแรม อุตสาหกรรม เกษตรกร และอื่นๆ เพิ่มขึ้นและต้องผลักภาระไปยังผู้บริโภค ดังนั้น กกร.จะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้ทบทวนมติ กกพ. และให้ตั้งคณะทำงานทั้งภาครัฐ-เอกชน มาหารือร่วมกันด่วนก่อนที่จะเริ่มเก็บค่าไฟฟ้าใหม่ในวันที่ 1 ม.ค.2566 โดยขอให้เอฟทีงวดเดือน ม.ค.-เม.ย.2566 จะต้องนำเรื่องการคืนหนี้ กฟผ.ออกไปก่อนจากที่จะต้องคืน 33 สต. ต่อหน่วยเพื่อทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของส่วนอื่นๆ ยกเว้นบ้านพักอาศัย ก็จะลดลงเหลือ 5.30 บาทต่อหน่วย.