ปี 65 คนไทยอ่วม จบโปรฯ ตรึงราคา สินค้า-น้ำมันรอขยับ ส่งผลค่าครองชีพพุ่ง

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ปี 65 คนไทยอ่วม จบโปรฯ ตรึงราคา สินค้า-น้ำมันรอขยับ ส่งผลค่าครองชีพพุ่ง

Date Time: 31 ธ.ค. 2564 05:05 น.

Summary

เผยปี 65 คนไทยเตรียมโดนสูบเงินจากกระเป๋า เหตุค่าครองชีพพุ่งสูง น้ำมันแพง หมดระยะเวลารัฐขอความร่วมมือตรึงราคาขายสินค้า ดันค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้น “สนค.” ชี้เกษตรกรกระทบหนักสุด

Latest

“สกพอ.” วางเดิมพันยุทธศาสตร์ “อีอีซี” ปักธง 5 ปี ผลิตแรงงานทักษะฝีมือสูงป้อนนักลงทุน

เผยปี 65 คนไทยเตรียมโดนสูบเงินจากกระเป๋า เหตุค่าครองชีพพุ่งสูง น้ำมันแพง หมดระยะเวลารัฐขอความร่วมมือตรึงราคาขายสินค้า ดันค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้น “สนค.” ชี้เกษตรกรกระทบหนักสุดขายสินค้าไม่ได้ราคาสูงตามต้นทุน ส่วนมนุษย์เงินเดือนรายได้เท่าเดิมแต่ต้องซื้อของแพงขึ้น ขณะที่ ม.หอการค้าไทยระบุถ้าเศรษฐกิจดีคนจะไม่มีทางบ่นว่าของแพง 

ปี 65 ค่าครองชีพของคนไทย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแน่นอน หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาที่รัฐบาลขอความร่วมมือผู้ผลิตสินค้าและบริการตรึงราคาขายเดิมและสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาล โดยผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป หลายรายการส่งสัญญาณปรับราคาแล้ว หลังพ้นระยะเวลาที่กรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ขอความร่วมมือให้ตรึงราคาขายเดิมจนถึงสิ้นปี 64 ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ สำหรับน้ำมันดีเซลที่คณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) ขอให้ผู้ค้าน้ำมันคงค่าการตลาดกลุ่มน้ำมันดีเซลไว้ไม่เกิน 1.40 บาทต่อลิตร และรัฐบาลตรึงราคาขายปลีกดีเซลไว้ที่ 28 บาทต่อลิตร จนถึงวันที่ 31 มี.ค.65 ขณะที่ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก กบง. ได้ตรึงราคาขายถังขนาด 15 กิโลกรัมสำหรับภาคครัวเรือนไว้ที่ 318 บาทจนถึงสิ้นเดือน ม.ค.65 ส่วนการที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้สนับสนุนส่วนลดค่าซื้อแอลพีจีแก่ผู้มีรายได้น้อย ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยขายอาหาร ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นเงิน 100 บาทต่อคนต่อเดือนนั้น จะสิ้นสุดเดือน ม.ค.65 อีกทั้ง ปตท.จะคงราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) ให้กับผู้มีรายได้น้อยที่ 15.59 บาทต่อ กก. จนถึงวันที่ 15 ก.พ.65

ดังนั้น เมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว หากรัฐบาลไม่มีมาตรการช่วยเหลือต่ออีกมีแนวโน้มราคาสินค้าจะขยับขึ้นแน่นอน เพราะต้นทุนต่างๆยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะวัตถุดิบที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน อาทิ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ที่ไทยต้องนำเข้ามาผลิตสินค้าสำเร็จรูป ทั้งนี้นักวิเคราะห์หลายราย มองว่า ปี 65 ราคาน้ำมันดิบยังทรงตัวในระดับสูง ไม่กลับไปที่กว่า 40 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเหมือนปี 62-63 อีกแล้ว และคาดว่า ช่วงต้นปี 65 ราคาอาจอยู่ในระดับเดียวกับช่วงปลายปี 64 ที่ราว 80 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล และเฉลี่ยทั้งปี 65 น่าจะอยู่ที่ 67-75 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล

ค่าไฟฟ้าเดือน ม.ค.-เม.ย.65 พุ่ง

นอกจากนี้ประชาชนยังต้องเผชิญกับค่ากระแสไฟฟ้าและค่าโดยสารสาธารณะที่จะปรับขึ้น มีราคาแพงด้วย โดยค่าเอฟที หรือค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติเดือน ม.ค.-เม.ย.65 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ปรับขึ้นแล้วโดยเรียกเก็บ 1.39 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าฐานเฉลี่ยที่เรียกเก็บจากประชาชนอยู่ที่ 3.78 บาทต่อหน่วย จากงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.64 ที่เคยจัดเก็บ 3.61 บาทต่อหน่วยเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 2 ปีเพราะราคาพลังงานเพิ่มขึ้น ส่วนงวดเดือน พ.ค.-ส.ค.65 และงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.65 จะปรับขึ้นหรือไม่ ต้องรอดูราคาพลังงานในตลาดโลก

ค่าเดินทางภาระค่าใช้จ่ายหนักอึ้ง

ขณะเดียวกัน ค่าโดยสารสาธารณะในส่วนของค่ามอเตอร์ไซค์รับจ้างบางวิน ปรับขึ้นแล้วตั้งแต่ปี 64 อย่างน้อยระยะทางละ 5 บาท ในปี 65 ถ้ารัฐไม่มีมาตรการช่วยเหลือก็น่าจะปรับขึ้นอีก ส่วนค่าโดยสารสาธารณะอื่นๆ แม้ยังไม่ปรับขึ้นในปี 65 แต่ราคาแพงมาก โดยเฉพาะค่ารถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน ส่งผลให้มนุษย์เงินเดือน นักเรียน นักศึกษา มีภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูงมากสวนทางกับรายได้ สำหรับค่าโดยสารรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน ที่อยู่ในระดับสูง จนเป็นภาระของประชาชน เช่น รถไฟฟ้าบีทีเอส 16-44 บาท แต่ในส่วนต่อขยายช่วงหมอชิต-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ยังไม่ได้ข้อสรุปว่า กรุงเทพมหานคร (กทม.) จะคิดอัตราเดียวที่ 104 บาทตลอดเส้นทาง 68 กิโลเมตร (กม.) หรือไม่ ส่วนสายสีน้ำเงิน 17-42 บาท สายสีม่วง 14-42 บาท สายสีแดง 12—42 บาท และไตรมาส 1 และ 2 ปี 65 จะเปิดให้บริการอีก 2 สาย คือ สายสีชมพู และสายสีเหลือง ค่าโดยสารแรกเข้าที่ 14 บาท นอกจากนี้ ค่ารถเมล์ร้อนและรถปรับอากาศ ทั้งของ ขสมก.และรถร่วมบริการอยู่ที่ 8-25 บาท ค่าเรือด่วนเจ้าพระยา 9-32 บาท ค่าเรือคลองแสนแสบ 9-19 บาท

ค่าอินเตอร์เน็ตเพิ่มไม่รู้ตัว

ขณะที่ภาระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าทางด่วนรวมถึงค่าอินเตอร์เน็ตที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นจากการที่ต้องทำงาน หรือเรียนหนังสือที่บ้านมากขึ้น แม้ค่าบริการมีแนวโน้มลดลง เช่น ปี 63 ค่าบริการอินเตอร์เน็ตผ่านมือถืออยู่ที่ 11 สตางค์ต่อ 1 เมกะบิต และลดลงเหลือ 9 สตางค์ต่อ 1 เมกะบิตในปี 64 ส่วน ปี 65 มีแนวโน้มทรงตัว แต่เพราะความเร็วของอินเตอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น ทำให้การใช้งานเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัวและจ่ายค่าบริการสูงขึ้น อีกทั้งยังมีภาระค่าใช้จ่ายจากการซื้ออาหารสำเร็จรูป อาหารบริโภคในบ้าน-นอกบ้าน ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกหากราคาก๊าซหุงต้มเพิ่มขึ้น จากภาระค่าใช้จ่ายของคนไทย ดังกล่าว สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ วิเคราะห์ได้ว่า ครัวเรือนไทยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละประมาณ 17,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายซื้อสินค้าอื่นที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงถึง 10,000 บาท ที่เหลืออีก 7,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายซื้ออาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ หากคิดเป็นสัดส่วนพบครัวเรือนไทยมีค่าใช้จ่ายซื้อสินค้าอื่นๆที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงถึง 60 เปอร์เซ็นต์ โดยค่าใช้จ่ายมากที่สุดอยู่ที่ค่าโดยสารสาธารณะ น้ำมันเชื้อเพลิง การสื่อสาร (ค่าโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต) และค่าเช่าที่อยู่อาศัย ส่วนอีก 40 เปอร์เซ็นต์ เป็นการซื้ออาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ค่าใช้จ่ายหนักสุดอยู่ที่อาหารบริโภคในบ้าน-นอกบ้านและอาหารสด ดังนั้น หากราคาสินค้าทั้ง 2 กลุ่มขยับขึ้นค่าครองชีพคนไทยต้องปรับขึ้นแน่นอน

เกษตรกรอ่วมค่าครองชีพเพิ่ม

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผอ.สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า เมื่อค่าครองชีพสูงขึ้น ประชาชนแต่ละกลุ่มจะได้รับผลกระทบต่างกัน โดยมนุษย์เงินเดือนที่มีเงินเดือนประจำจะลำบากมากขึ้นเพราะปี 65 อาจได้รับเงินเดือนเท่าเดิม แต่ค่าครองชีพสูงขึ้น ต้องใช้เงินมากขึ้นในการซื้อสินค้าชิ้นเดิมหรือปริมาณเท่าเดิม ส่วนผู้ผลิตสินค้าจะมีความสมดุลของรายรับ-รายจ่าย เพราะมีโอกาสขึ้นราคาขายสินค้าถ้าต้นทุนสูงขึ้น แต่เกษตรกรจะได้รับผลกระทบหนักสุดเพราะราคาสินค้าเกษตรหลายรายการยังไม่สูงขึ้น แต่ต้นทุนการผลิตยังสูงขึ้นตามราคาตลาดโลก ทั้งราคาปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช วัตถุดิบอาหารสัตว์และอาหารสัตว์ เท่ากับว่าราคาสินค้าที่ขายได้ไม่ได้เพิ่มตามต้นทุนที่สูงขึ้น จึงมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ดังนั้น รัฐต้องมีมาตรการช่วยเหลือและดูแลค่าครองชีพต่อ โดยเฉพาะลดค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือน และค่าเล่าเรียนทุกระดับชั้น เพราะจะทำให้ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ของประชาชนลดลงทันที ส่วนมาตรการเพิ่มกำลังซื้อประชาชนยังจำเป็นต้องมีต่อเนื่อง อาทิ โครงการ คนละครึ่ง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เราเที่ยวด้วยกัน

กำลังซื้อทรุดผู้ผลิตไม่กล้าขึ้นราคา

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ปี 65 หากผู้ผลิตสินค้ารายใดจะขอปรับ ขึ้นราคาขายสินค้า ต้องแจ้งมาที่กรมการค้าภายในก่อน แล้วกรมจะพิจารณาให้ตามความเหมาะสม แต่เชื่อว่าผู้ผลิตส่วนใหญ่ยังบริหารจัดการต้นทุนได้ไม่น่าปรับขึ้นราคาขาย เพราะตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคมีการแข่งขันรุนแรง เนื่องจากมีผู้ผลิตสินค้าจำนวนมาก แต่กำลังซื้อประชาชนยังไม่เพิ่มขึ้น การปรับขึ้นราคาอาจทำให้เสียส่วนแบ่งทางตลาด

“กระทรวงพาณิชย์มีมาตรการดูแลค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง เช่น รถเคลื่อนที่ตระเวนขายสินค้าราคาถูกทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด ร้านธงฟ้าราคาประหยัด เป็นต้น ขณะเดียวกันจะติดตามราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ผู้ค้าฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาขายเอาเปรียบประชาชน ถ้าประชาชนพบเห็นการค้ากำไรเกินควร หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ จะส่งเจ้าหน้าที่ออก ตรวจสอบ หากพบทำผิดจริงจะดำเนินการตามกฎหมาย มีโทษหนักทั้งจำและปรับ” นายวัฒนศักย์กล่าว

ชี้คนไม่บ่นของแพงถ้าเศรษฐกิจดี

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่าในปี 65 ถ้าการแพร่ระบาดของโควิด-19 โอมิครอนไม่รุนแรงมากนัก รัฐบาลไม่ล็อกดาวน์หรือออกมาตรการคุมเข้ม คาดเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นและขยายตัวไม่ต่ำกว่า 4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะทำให้การจ้างงานเพิ่มประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น แม้ราคาสินค้าปรับขึ้นยกแผงตามกำลังซื้อของประชาชนที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่สินค้าจำเป็นต่อการครองชีพจนถึงสินค้าฟุ่มเฟือย ประชาชนก็จะไม่บ่นว่าข้าวของแพงค่าครองชีพสูง เพราะมีเงินซื้อ แต่หากโควิดยังระบาดมากจนต้องล็อกดาวน์หรือออกมาตรการคุมเข้ม ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมต่างๆก็จะทำให้เศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวทรุดลงอีกและอาจเห็นภาพของการว่างงานรายได้ลดกำลังซื้อลด เกิดผลทางจิตวิทยาค่าครองชีพสูงขึ้นเพราะคนไม่มีเงินใช้จ่าย

“ค่าครองชีพมี 2 ประเด็น คือ ราคาสินค้าถูกหรือแพง ซึ่งจะใช้เป็นเครื่องชี้วัดอัตราเงินเฟ้อของประเทศและรายได้ของผู้บริโภค ถ้าเศรษฐกิจดีแม้ราคาสินค้าแพงคนจะไม่รู้สึกค่าครองชีพสูงเพราะมีเงินใช้จ่าย แต่ที่ผ่านมาคนบ่นกันมากว่าค่าครองชีพสูงขึ้นเพราะรายได้ลดลง จากการอาจถูกลดเงินเดือน เลิกจ้าง ลดเวลาทำงาน รวมถึงราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ทำให้รายได้ไม่พอเลี้ยงชีพและยิ่งมาเจอวิกฤติโควิดอีก ยิ่งทำให้คนรู้สึกว่าข้าวของแพง ค่าครองชีพสูง แม้ปี 64 เงินเฟ้อขยายตัวเพียง 1-2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงราคาสินค้าไม่ได้แพงมากนัก” นายธนวรรธน์กล่าว


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ