โดนแล้วโกง "คนละครึ่ง" ปอศ.ตามรวบดำเนินคดี พบเข้าข่ายทุจริตกว่า 700 ราย

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

โดนแล้วโกง "คนละครึ่ง" ปอศ.ตามรวบดำเนินคดี พบเข้าข่ายทุจริตกว่า 700 ราย

Date Time: 18 ธ.ค. 2563 18:39 น.

Video

เก็บเงินก็ยาก ลงทุนก็เสี่ยง คนไทยรอดจากความจนยาก? กับ ดร.บุรินทร์ อดุลวัฒนะ | Thairath Money Night Stand EP.17

Summary

ตำรวจ บก.ปอศ.ลุยจับร้านค้าแสบทุจริตโครงการคนละครึ่ง ฟันคดีฉ้อโกงแล้ว 1 ราย ที่สมุทรสาคร ขณะที่คลังชี้ ตรวจสอบพบพฤติกรรมเข้าข่ายทุจริตกว่า 700 ราย เผยก่อนหน้าแบนใช้แอปฯ ถุงเงินไปกว่า 200 ราย

Latest


ตำรวจ บก.ปอศ.ลุยจับร้านค้าแสบทุจริตโครงการคนละครึ่ง ฟันคดีฉ้อโกงแล้ว 1 ราย ที่สมุทรสาคร ขณะที่คลังชี้ ตรวจสอบพบพฤติกรรมเข้าข่ายทุจริตกว่า 700 ราย เผยก่อนหน้าแบนใช้แอปฯ ถุงเงินไปกว่า 200 ราย


เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 ธ.ค.63 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ต.ปัญญา ปิ่นสุข รอง ผบช.ก. นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานกำกับกฎเกณฑ์และกฎหมายธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมแถลงผลการตรวจสอบดำเนินคดี กรณีพบการทุจริตในโครงการคนละครึ่ง ที่ห้องประชุม ศรียานนท์ โซนซี ชั้น 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นายพรชัย กล่าวว่า โครงการคนละครึ่ง มีวัตถุประสงค์กระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจในระดับฐานราก ผ่านผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มหาบเร่แผงลอย ให้มีรายได้จากการขายสินค้าเพิ่มขึ้น จะได้ส่งผลต่อเนื่องไปยังผู้ผลิตและเป็นการลดภาระรายจ่ายของพี่น้องประชาชน ในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยเงื่อนไขสำคัญของโครงการคนละครึ่ง จะต้องมีการชำระค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม ค่าสินค้าทั่วไปจริง ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ที่รับชำระเงินด้วยแอปพลิเคชันถุงเงิน โดยภาครัฐจะร่วมจ่ายร้อยละ 50 แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน หรือไม่เกิน 3,500 บาท ตลอดระยะเวลาโครงการ ต่อมา กระทรวงการคลังมีการตรวจสอบเบื้องต้นพบความผิดปกติ มีการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการ จึงได้มีการระงับการใช้แอปพลิเคชันถุงเงิน และระงับการจ่ายเงินให้กับร้านค้า รวมทั้งมีการดำเนินการทางกฎหมาย

ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ได้สั่งการระงับการใช้แอปพลิเคชันถุงเงิน ไปแล้วเกือบ 200 ราย สำหรับโครงการนี้ที่ผ่านมา เราไปปิดจุดอ่อนไปหลายครั้ง แต่ที่ไม่ออกข่าว เนื่องจากไม่ต้องการให้ผู้กระทำความผิดไหวตัว แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้เราจะต้องติดตามเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะเรารู้เส้นทางพฤติกรรมของกลุ่มมิจฉาชีพแล้ว

ด้าน นายพงษ์สิทธิ์ กล่าวว่า ในส่วนของธนาคารกรุงไทย หลังได้รับทราบเรื่องราว จึงได้มีการตรวจสอบในส่วนของธนาคาร พบว่ามีพฤติกรรมของร้านค้าที่เข้าข่ายต้องสงสัย จึงได้ประสานข้อมูลไปยังทางตำรวจ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ให้บก.ปอศ.เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในคดีนี้ ขณะนี้ในคดีเดียว ได้รับเบาะแสบุคคลที่เข้าข่ายประมาณ 700 ราย และเชื่อว่าน่าจะมีมากกว่านี้
ซึ่งจะต้องมีการดำเนินการต่อ อย่างไรก็ตาม คดีฉ้อโกงมีอายุความถึง 10 ปี

ขณะที่ พล.ต.ต.ปัญญา กล่าวว่า ส่วนการทุจริตในโครงการคนละครึ่ง มีลักษณะวิธีการทุจริต 2 รูปแบบ รูปแบบแรก ร้านค้าคนละครึ่งที่รับแลกเงินสด มีการโอนเงินให้กับประชาชนที่ใช้แอปพลิเคชันเป๋าตังโดยตรงผ่านทาง mobile banking, ATM และเงินสด ซึ่งรูปแบบนี้ไม่ได้มีการซื้อ-ขายสินค้าจริง แต่ไปรับเงินโดยตรง ส่วนรูปแบบที่ 2 ลักษณะเป็นเจ้ามือ ประชาชนที่ต้องการแลกเงินมีการให้ข้อมูลการ Login เข้าแอปพลิเคชันเป๋าตังแก่ร้านค้า เพื่อใช้สิทธิ์คนละครึ่งแทน โดยวิธีนี้ร้านค้าจะหาลูกค้าผ่านทางช่องทางออนไลน์ เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก เป็นต้น หากมีประชาชนสนใจมีการตกลงแบ่งผลประโยชน์ โดยจะกระทำการเสมือนมีการค้าขาย แต่ไม่มี ซึ่งประชาชนได้รับโอนเงินส่วนต่างจากเจ้ามือ จำนวน 80-100 บาท ต่อการทำธุรกรรมใช้จ่ายผ่านร้านดังกล่าว

รอง ผบช.ก. กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ผู้ต้องหาจะแสดงตนเป็นทั้งร้านค้า และประชาชนผู้ใช้สิทธิ์ โดยกรณีนี้ตำรวจได้สืบสวนจากข้อมูลพบว่าที่อยู่ร้านค้า และผู้ใช้สิทธิอยู่ต่างภูมิลำเนา และคนละจังหวัด ทั้งเชียงใหม่ สงขลา ฯลฯ ทั้งนี้ได้แจ้งข้อหาผู้ต้องหาทั้ง 4 คนแล้ว ในข้อหา ฉ้อโกง และข้อหาฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น พร้อมเรียกสอบปากคำประชาชน 14 คน ที่นำข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับรหัสเข้าแอปพลิเคชันเป๋าตัง ส่งให้กับร้านค้าผู้กระทำความผิด โดยหลังจากนี้ตำรวจก็จะพิจารณาว่าจะต้องแยกการดำเนินคดีต่อไปอย่างไร โดยร้านค้าผู้กระทำความผิด พบว่ามีประชาชน 200 ราย ที่เข้าข่ายร่วมกระทำความผิด โดยรัฐได้โอนเงินให้กับร้านค้าแห่งนี้ไปแล้วกว่า 220,000 บาท

ส่วน พ.ต.อ.ภาดล จันทร์ดอน ผกก.5 บก.ปอศ.กล่าวว่า สำหรับคดีนี้ เริ่มจากร้านที่มีสิทธิ์และประชาชนที่มีสิทธิ์ เข้าไปตั้งกลุ่มเฟซบุ๊กกลุ่มโครงการคนละครึ่ง ซึ่งทั้งที่เป็นคนดีและมิจฉาชีพเข้าไปอยู่ในกลุ่ม จึงทำให้กลุ่มคนร้ายกลุ่มนี้ได้รู้จักกัน ร้านค้าร้านนี้อยู่ในพื้นที่ ต.คอกระบือ เมืองสมุทรสาคร ชื่อ ร้านสมปองขายของชำ จากนั้นได้ไปรู้จักกับเฟซบุ๊กอวตาร์ ชื่อ “สาวิตา รักชีพชอบ” หรือ นางกนกภรณ์ ซึ่งการกระทำความผิดในคดีนี้จะเป็นในรูปแบบที่ 2 จะมีเจ้ามือ โดยคดีนี้มีเจ้ามือคือเฟซบุ๊กอวตาร์ ชื่อ “สาวิตา รักชีพชอบ” โดยจะใช้วิธีการโพสต์หาลูกค้า จึงทำให้ได้รู้จักกับร้านสมปอง จากนั้นให้ร้านสมปองส่งยูสเซอร์เนมและพาสเวิร์ดมาไว้ที่เจ้ามือ จากนั้นเมื่อได้ลูกค้ามา เจ้ามือจะดำเนินการคนเดียว โดยจะเป็นทั้งร้าน และเป็นทั้งประชาชนที่มีสิทธิ์ จากนั้นจะมีการยิงสแกนบาร์โค้ดแอปพลิเคชันถุงเงิน แอปพลิเคชันเป๋าตัง ให้เสมือนว่ามีการซื้อขายจริง

แต่เมื่อมีการตรวจสอบพบว่าผู้ใช้สิทธิ์เป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่นอกพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ผู้ใช้สิทธิ์บางคนอยู่ จ.สงขลา บุรีรัมย์ เชียงใหม่ จึงได้ดำเนินการสืบสวน กระทั่งวันที่ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. เจ้าหน้าตำรวจ บก.ปอศ.ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และผู้แทนจากธนาคารกรุงไทย ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าขายของชำที่ ต.คอกระบือ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร พบ น.ส.สมปอง (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 62 ปี แสดงตนเป็นเจ้าของร้านขายของชำ และพบ นายสรัล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี บุตรชายเจ้าของร้าน ซึ่งมีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี จากการตรวจสอบพบ โทรศัพท์มือถือที่ใช้ในระบบ G Wallet จำนวน 5 เครื่อง, ไอแพด 1 เครื่อง, คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง และ บัญชีเงินฝากธนาคาร 6 เล่ม จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลางในคดี

จากการสอบสวน น.ส.สมปอง เจ้าของร้าน ทราบว่าการดำเนินการทั้งหมดนายสรัล บุตรชายเป็นผู้ดำเนินการ โดย นายสรัล ให้การยอมรับว่าได้ตกลงร่วมมือกับผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “สาวิตา รักชีพชอบ” และใช้ไลน์ชื่อ Jeerapot ในการติดต่อ และเมื่อได้รับเงินจากรัฐบาล ได้โอนเงินคืนให้กับเจ้ามือผ่านบัญชีธนาคาร ชื่อ นายจีรพจน์ ซึ่งทำหน้าที่เปิดบัญบีธนาคาร โดยทางร้านค้าจะได้ผลประโยชน์ 30 บาทต่อราย ส่วนผู้ใช้ไลน์ชื่อ Jeerapot ได้ 30 บาทต่อราย คนที่มาขายสิทธิ์จะได้เงิน รายละ 90 บาท เบื้องต้นตำรวจได้ลงพื้นที่สอบสวนปากคำประชาชนที่ใช้สิทธิ์ผ่านร้านค้าดังกล่าวจำนวน 14 ปาก ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ เช่น จังหวัดลพบุรี, ชลบุรี, ชัยภูมิ, บุรีรัมย์, สุรินทร์, เชียงใหม่ สงขลา ฯลฯ จากนี้ในส่วนของผู้ใช้สิทธิ์ พนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหา เนื่องจากถือว่าร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ในข้อหาฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น.

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ