นับวันยิ่งรุนแรงมากขึ้น “คนหัวร้อนบนท้องถนน” เพียงแค่ขับรถปาดหน้าเบียดกันกลับบานปลายไปสู่การจ้องหน้าเปิดกระจกท้าทายตะโกนด่าทอกันจากความหงุดหงิดไม่สามารถคุมอารมณ์ตนเองได้

กลายเป็นชนวนจุดไฟ “ความขัดแย้งบนท้องถนน” ทำให้ลุกลามไปสู่เหตุการณ์ทะเลาะวิวาท และบ่อยครั้งที่บานปลายถึงขั้นมีการทำร้ายร่างกายและจิตใจกัน “สุดท้ายจบลงด้วยคดีอาญา” ที่ปรากฏถี่ขึ้นในสื่ออย่างกรณี “ลูกพีชขับรถหรู” ปาดหน้ารถกระบะบนถนนมอเตอร์เวย์ชนกับแบริเออร์ ผู้โดยสาร 2 คนบาดเจ็บสาหัส

คดีนี้ถ้าพิจารณาแล้ว “ไม่ใช่การขับรถโดยประมาท” แต่เข้าข่ายเจตนามุ่งต่อชีวิตและทรัพย์สินส่งผลให้ตำรวจตั้ง 4 ข้อหาทั้งทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส, ทำร้ายร่างกายผู้อื่นบาดเจ็บ, ขับรถไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิต หรือร่างกายของผู้อื่น ทำให้เสียทรัพย์ รวมถึงมีความผิดกฎหมายการจราจรอีก 3 ข้อหาหนัก

ไม่เท่านั้นยังมีอีกหลายกรณีถึงขั้นใช้อาวุธมีดปืนก็มีทำร้ายกันเกิดขึ้น เรื่องมักไม่จบลงที่โรงพยาบาลหรือการขอโทษ แต่มักนำไปสู่กระบวนการทางกฎหมายเพียงแค่เสี้ยววินาทีควบคุมอารมณ์ไม่ได้กลายเป็นการเปลี่ยนสถานการณ์ลากยาวไปขึ้นโรงขึ้นศาลทั้งคดีอาญา-คดีแพ่ง คมเพชญ จันปุ่ม ประธานเครือข่ายทนายชาวบ้าน บอกว่า

จริงๆ แล้วบนท้องถนนก็ไม่ต่างจากสนามอารมณ์อัดแน่นไปด้วยความเร่งรีบ ความเครียด และการแย่งชิงพื้นที่ “ไม่มีใครยอมใคร” ส่วนใหญ่ผู้ใช้รถใช้ถนนหลายคนมักยึดถือว่า “พื้นที่หน้ารถตนเองเป็นอาณาเขตส่วนตัว” ใครก็ไม่ควรล้ำเส้นหากเกิดการปาดหน้า หรือขับจี้ก็กลายเป็นการท้าทายอีกฝ่ายให้รู้สึกเสียหน้าไม่ยอมแพ้

เมื่อเจอกับสถานการณ์นี้ “อารมณ์โกรธมักปะทุ” โดยไม่ทันไตร่ตรองก็ใช้การตอบโต้ไม่ว่าจะบีบแตรข่มขู่ เร่งเครื่องไล่จี้ เปิดกระจกด่าทอ ท้าทายตัวตน เพื่อเอาคืนรักษาหน้าสะท้อนออกมาในพฤติกรรมขับขี่บนถนน

...

“สาเหตุสังคมไทยใช้ความรุนแรงบนถนนมักเกิดจากการขาดความเอื้อเฟื้อการใช้รถใช้ถนนขับขี่และด้วยสภาพความเร่งรีบการดำรงชีวิตในเมืองใหญ่ก็เป็นตัวกระตุ้นให้คนเกิดความหงุดหงิดง่ายพร้อมจะตอบโต้ต่อความไม่สะดวกที่เผชิญบนถนน กลายเป็นปัจจัยเกิดเป็นเชื้อไฟจุดชนวนแห่งความรุนแรงในหลายเหตุการณ์”

อีกปัจจัยมักทำให้ปัญหาความขัดแย้งบนท้องถนนยิ่งทวีความรุนแรงคือ “การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่จริงจัง”  เพราะหลายกรณีมีการกระทำผิดซ้ำซาก เช่น ขับรถอันตราย ใช้ถ้อยคำหยาบคาย แม้แต่การพกพาอาวุธในรถกลับได้รับโทษเพียงเล็กน้อย หรือหลุดรอดจากการลงโทษ นำไปสู่การขาดความเกรงกลัวต่อกฎหมาย

ทำให้คนขาดความยับยั้งชั่งใจ “มีแนวโน้มทำผิดซ้ำ” ดังนั้นการลงโทษเล็กน้อยอย่างการปรับไม่ได้สร้างผลกระทบมากพอให้ผู้ทำผิดเปลี่ยนพฤติกรรมโดยเฉพาะพฤติกรรมนั้นเกิดจากทัศนคติ หรืออารมณ์ ควบคุมไม่ได้

ทั้งจะกลายเป็นการสร้างบรรทัดฐาน เพราะการปล่อยปละละเลยให้พฤติกรรมนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ทำให้สังคมมองเป็นเรื่องพอจะยอมรับได้ เมื่อคนเห็นการทำผิดจราจร หรือแสดงพฤติกรรมคุกคามบนท้องถนนไม่ถูกลงโทษ

ย่อมรู้สึกคับข้องใจ สิ้นหวัง ไม่ไว้วางใจกระบวนการยุติธรรม “บางรายอาจคิดว่ากฎหมายไม่อาจคุ้มครองได้” ก็ตัดสินใจตอบโต้ด้วยตนเองเมื่อเผชิญเหตุการณ์อันเป็นการเพิ่มโอกาสให้เกิดความรุนแรงและคดีอาญา

นอกเหนือจากพฤติกรรมส่วนบุคคลและการบังคับใช้กฎหมายแล้ว “ระบบการอบรม และสอบใบขับขี่” ก็ยังให้ความสำคัญกับทักษะการขับรถมากกว่าทัศนคติและการควบคุมอารมณ์ ดังนั้นแม้จะขับรถได้ดี แต่ยังไม่พอที่จะสร้างให้ผู้ขับขี่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และจัดการอารมณ์สถานการณ์ตึงเครียดบนท้องถนนได้เหมาะสม

เช่นนี้แม้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้คล่องแคล่ว “แต่ต้องเจอเหตุไม่เป็นใจบนถนน” อย่างถูกปาดหน้า ถูกขับจี้ท้ายก็ไม่อาจจัดการอารมณ์โกรธ หงุดหงิด หรือไม่พอใจ ส่งผลให้แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวตอบโต้ด้วยความรุนแรง

ไม่เท่านั้นหลายคนยังขาดการปลูกฝัง “เรื่องจิตสำนึกร่วมในการใช้ถนน” เพราะการอบรมเน้นแต่ทักษะส่วนบุคคลทำให้ผู้ขับขี่มองว่า “ถนนเป็นพื้นที่การแข่งขัน” ทั้งให้ความสำคัญความสะดวกสบายของตนเองเป็นหลักจนขาดความตระหนักการแบ่งปัน การเคารพสิทธิผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น หรือขาดความเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมทาง

...

เมื่อทัศนคติขับขี่ที่ถูกต้อง “ไม่ถูกปลูกฝังจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้” ผู้ขับขี่ก็มีแนวโน้มตอบโต้การกระทำไม่พึงประสงค์ผู้อื่นด้วยพฤติกรรมคล้ายกัน หรือรุนแรงกว่า เพื่อสั่งสอนเป็นการสร้างวงจรขัดแย้งความรุนแรง

สิ่งนี้อาจดูเป็นเพียงระบายอารมณ์แต่ความเป็นจริงคือ “การเปิดประตูสู่ความรุนแรง” เพราะเมื่อไม่พอใจถูกปาดหน้าขับเบียดหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอารมณ์โกรธแค้นควบคุมตนเองไม่ได้ก็อาจนำไปสู่การทำร้ายร่างกายกัน

ยิ่งลงไม้ลงมือใช้สิ่งของเป็นอาวุธทำร้ายกัน ไม่ว่าจะบาดเจ็บเล็กน้อยตาม ป.อาญา ม.295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือถ้าบาดเจ็บสาหัสตาม ม.297 จำคุก 6 เดือน-10 ปี “อันเป็นความผิดอาญา” แม้แต่การทำร้าย เช่น ตบหน้า ผลักอก ก็มีความผิดลหุโทษ ม.391 จำคุกไม่เกิน 1 เดือน

เช่นเดียวกับการข่มขู่ทำร้ายร่างกาย-ทรัพย์สินอีกฝ่าย เช่น ตะโกนด่าพร้อมขู่ทำร้าย แสดงท่าทีคุกคาม หรือใช้อาวุธข่มขู่ตาม ม.392 จำคุก 1 เดือน ถ้าทำลายส่วนใดของรถคู่กรณีโดยเจตนา ม.358 มีโทษจำคุก 3 ปี

ตอกย้ำ “การตอบโต้ด้วยการขับขี่ที่อันตราย หรือเจตนาทำให้เกิดอันตราย” อย่างกรณีอาจไม่ได้ลงจากรถมาเผชิญหน้าโดยตรง แต่ใช้รถยนต์เป็นเครื่องมือในการตอบโต้ เช่น ขับรถไล่ตาม ขับปาดหน้าคืน หรือเบียดกระแทกโดยเจตนาจนเกิดอุบัติเหตุ หรือทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายเกิดขึ้นจริงๆ

...

ลักษณะนี้ “ถ้ามีเจตนาก็เข้าข่ายพยายามทำร้าย” หากกระทำให้บาดเจ็บ และพิสูจน์ว่ามีเจตนาก็เป็นการทำร้ายร่างกายโดยเจตนา หากส่อเจตนาฆ่า เช่น ขับรถพุ่งชนด้วยความเร็วสูงก็เข้า ม.288 ฆ่าผู้อื่นประกอบ ม.80 ลงมือทำผิดไม่บรรลุก็เป็นพยายามทำผิดโทษ 2 ใน 3 หากมีผู้เสียชีวิตก็เป็นฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโทษสูงสุดประหารชีวิต

ดังนั้นการปรับปรุงประสิทธิภาพ “การบังคับใช้กฎหมาย” เพิ่มบทลงโทษผู้ทำผิดซ้ำในการขับขี่ที่เป็นอันตราย หรือการคุกคามบนท้องถนน รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาช่วยตรวจจับรวบรวมพยานหลักฐาน ก็เป็นส่วนสำคัญในการลดความรุนแรงบนท้องถนน และป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เล็กน้อยลุกลามจนกลายเป็นคดีอาญาได้

ย้ำว่าถนนที่ปลอดภัย “ไม่ได้เกิดจากกล้องจับความเร็ว หรือบทลงโทษที่รุนแรงเพียงอย่างเดียว” แต่เกิดจากหัวใจของคนขับขี่ว่าเขาเลือกที่จะเห็นผู้อื่นเป็นเพื่อนร่วมทาง หากคนไทยทุกคนเริ่มต้นจากการยอมให้ทางสักคัน และยิ้มให้กันสักครั้ง ความขัดแย้งที่รอปะทุในทุกวันอาจค่อยๆมลายหายไป

คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม