แม้กระแสรัดเข็มขัดจะเกิดขึ้นกับสินค้าแฟชั่นและกระเป๋าแบรนด์เนม แต่ “เครื่องประดับ” กลายเป็นหมวดสินค้าลักชัวรีที่ยังเติบโตได้ดีท่ามกลางการบริโภคที่ไม่แน่นอน รายงานฉบับใหม่จาก Citigroup รายงานว่า ยอดขายเครื่องประดับหรูโตสวนกระแส คนมองเครื่องประดับให้ผลตอบแทนเชิงการลงทุนและคุณค่าทางอารมณ์ได้มากกว่าสินค้าลักชัวรีอื่น ๆ
ท่ามกลางภาวะการใช้จ่ายในสินค้าลักชัวรีของสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงโดยรวม “เครื่องประดับหรู” กลับฉายแสงโดดเด่นขึ้นมาอย่างชัดเจน ข้อมูลธุรกรรมบัตรเครดิตของผู้ถือบัตรชาวอเมริกันกว่า 10 ล้านรายจาก Citgroup พบว่า การใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าลักชัวรีโดยรวมลดลงในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2025 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2024 แต่ตรงกันข้ามหมวดเครื่องประดับหรูที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา การใช้จ่ายในหมวดเครื่องประดับหรูเพิ่มขึ้นถึง 10.1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และยังคงเป็นการเติบโตแบบเดือนต่อเดือนตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ขณะที่หมวดกระเป๋าและเสื้อผ้าลักชัวรีกลับลดลง
ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าปี 2025 จะเป็นปีแห่งการฟื้นตัว โดยเฉพาะหลังจากไตรมาส 4 ของปี 2024 ซึ่งได้แรงหนุนจากการช้อปปิ้งในช่วงเทศกาลและบรรยากาศหลังเลือกตั้งสหรัฐฯ โดย ข้อมูลจาก Citi ชี้ว่าช่วง 5 เดือนแรกของปี 2025 การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในกลุ่มสินค้าลักชัวรีของสหรัฐฯ ยังลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2024
โดยในดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา การใช้จ่ายในกลุ่มลักชัวรีลดลงเพียง 1.7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ถือว่าดีขึ้นกว่าการลดลง 6.8% ในเดือนเมษายน และ 8.5% ในเดือนมีนาคม โดยยอดรวมของแบรนด์หรูชั้นนำ เช่น Hermès ยังสามารถเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.2% เมื่อเทียบรายปี
อย่างไรก็ตามข้อมูลพบว่า ขณะที่การใช้จ่ายในภาพรวมยังทรงตัว แต่ยอดขายเครื่องประดับหรูแซงหน้าสินค้าลักชัวรีอื่น ทั้งในแง่ “ยอดใช้จ่าย” และ “จำนวนลูกค้า”
หมวดเครื่องประดับหรู มียอดใช้จ่ายเติบโตต่อเนื่องทุกเดือนนับตั้งแต่กันยายนปีที่แล้ว โดยในเดือนพฤษภาคมปีนี้ ยอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 10.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน และที่น่าสนใจ คือ เครื่องประดับเป็นหมวดเดียวที่ไม่เพียงแต่มียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อลูกค้าเพิ่มขึ้น แต่ยังมีจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นด้วย
Thomas Chauvet นักวิเคราะห์จาก Citigroup อธิบายว่า การเร่งตัวของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ผลักดันการใช้จ่ายในหมวดเครื่องประดับให้พุ่งสูงขึ้น
โดยผู้บริโภคมองว่าเครื่องประดับเป็นทรัพย์สินที่มีผลต่อมูลค่าทางอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งสร้างมูลค่าการลงทุนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าลักชัวรีอื่น เช่น กระเป๋า หรือเสื้อผ้า กล่าวคือ ความแข็งแกร่งของยอดขายเครื่องประดับน่าจะสะท้อนถึง “การเปลี่ยนแปลงในค่านิยมของผู้บริโภค” ที่ให้คุณค่าแท้มากกว่า ทั้งในแง่ของเนื้อวัสดุที่มีค่าจริง และความหมายทางอารมณ์ที่ลึกซึ้ง
เครื่องประดับเป็นสินค้าที่มีคุณค่าทั้งในฐานะของขวัญแทนใจและหลักทรัพย์ในการลงทุน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ราคาทองคำพุ่งสูงกว่า 25% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่แบรนด์เครื่องประดับอย่าง Cartier ขึ้นราคาสินค้าเพียงไม่ถึง 5%
ในทางกลับกัน “แบรนด์กระเป๋าหรู” ส่วนใหญ่ขึ้นราคาต่อเนื่องสูงถึง 30-40% ตั้งแต่ช่วงโควิด แต่ดีไซน์ไม่ได้แปลกใหม่อย่างชัดเจน หรือคุ้มค่าตามราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมากนัก สำหรับกลุ่ม “นาฬิกาหรู” ซึ่งมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นที่ 14.7% ในเดือนพฤษภาคมเทียบกับปีก่อน แต่เฉพาะในกลุ่มแบรนด์นาฬิกาชั้นนำกลับมียอดใช้จ่ายลดลง 10% ซึ่งสะท้อนความไม่แน่นอนของตลาด
ยอดส่งออกนาฬิกาสวิสที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลังอาจไม่สะท้อนการบริโภคจริงของผู้บริโภค แต่อาจเป็นผลจากดีลเลอร์เร่งสต๊อก และผู้ผลิตส่งสินค้ามายังบริษัทในสหรัฐฯ ล่วงหน้า เพื่อรับมือกับภาษี 31% จากนโยบายภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
แม้เดือนพฤษภาคมจะเห็นสัญญาณบวก แต่ยังไม่ฟันธงว่าเป็นจุดเปลี่ยนของผู้บริโภค รายงานได้เตือนว่า ปัจจัยเสี่ยงยังมีอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี ซึ่งจะครบกำหนดพัก 90 วันในอีกไม่ถึงสองสัปดาห์หรือความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ทำให้ราคาน้ำมันผันผวน
นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังอ่อนค่าลงราว 10% นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งอาจกระทบความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค เนื่องจากผู้บริโภคอเมริกันมักรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อดอลลาร์แข็งค่า เพราะ ทำให้สามารถเดินทางและช้อปสินค้าหรูในต่างประเทศได้คุ้มค่ากว่า
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลล่าสุด สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ผู้บริโภคกลับเลือกใช้จ่ายกับสิ่งที่ให้คุณค่า “ระยะยาว” ทั้งในเชิงอารมณ์และการเงิน และ “เครื่องประดับหรู” ก็ดูจะตอบโจทย์นั้นได้ดีที่สุดในเวลานี้
อ้างอิงข้อมูลจาก CNBC
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -