เมื่ออายุมากขึ้นเข้าสู่วัย 40 ปีขึ้นไป ร่างกายก็เริ่มเข้าใกล้ภาวะวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน (Menopause) เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สำคัญต่อเพศหญิงลดลง ส่งผลให้สุขภาพร่างกายภายในเปลี่ยนแปลงไปตามวัย รวมถึงสุขภาพผิวด้วยเช่นกัน

“ผิวของเราเป็นส่วนหนึ่งของภาพสะท้อนที่เราเห็นเมื่อเรามองกระจก และไม่ได้ถูกยกเว้นจากการเปลี่ยนแปลงของวัยหมดประจำเดือน” แพทย์หญิงเคลลี รีด (Kellie Reed, MD) แพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญจาก Westlake Dermatology ในออสตินกล่าว

วัยหมดประจำเดือนส่งผลกระทบต่อผิวพรรณอย่างไร

รีดอธิบายว่าวัยหมดประจำเดือนกระตุ้นให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ซึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวพรรณได้ดังนี้

  • การผลิตคอลลาเจนลดลง
  • ริ้วรอยเล็กๆ และรอยเหี่ยวย่นเพิ่มขึ้น
  • ผิวบางลงและหย่อนคล้อย
  • ผิวแห้งกร้าน
  • สิว
  • จุดด่างดำจากแสงแดด
  • ขนบนใบหน้าเพิ่มขึ้น
  • อาการทางผิวหนัง

งานวิจัยที่เชื่อถือได้ในปี 2013 ระบุว่า คอลลาเจนบางประเภทอาจลดลงมากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 5 ปีแรกหลังจากวัยหมดประจำเดือนเริ่มต้นขึ้น

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

...

ขณะที่ผลการศึกษาที่เชื่อถือได้ในปี 2019 สำรวจเกี่ยวกับรูปร่างใบหน้าของผู้ชายและผู้หญิงจำนวน 88 คน ระบุว่าใบหน้าของผู้หญิงหลังหมดประจำเดือนดูมีอายุเร็วขึ้นกว่าผู้ชาย โดยผิวที่หย่อนคล้อยเป็นหนึ่งในสัญญาณความแก่ของใบหน้า

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยหลายชิ้นเอ่ยถึงสิวที่เพิ่มขึ้นในช่วงและหลังวัยหมดประจำเดือน ซึ่งปัจจัยหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และอาจมีส่วนทำให้ผิวแห้งกร้านขึ้นด้วย

รวมถึงปัญหาขนบนใบหน้า แม้ว่าผมบางบนหนังศีรษะมักเป็นสัญญาณของความชรา แต่ขนบนใบหน้าอาจมากขึ้นในวัยหมดประจำเดือนได้

วิธีจัดการริ้วรอยเล็กๆ และรอยเหี่ยวย่น

ริ้วรอยเล็กๆ อาจเป็นสัญญาณแรกที่สังเกตเห็นได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำสามขั้นตอนหลักในการดูแลผิวไว้ดังนี้

1. เปปไทด์ (peptides)

แพทย์หญิงเดบรา จาลิมัน (Debra Jaliman) แพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญและผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านผิวหนังที่ Mount Sinai School of Medicine กล่าวว่าเปปไทด์สามารถกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนได้ เนื่องจากคอลลาเจนเป็นหนึ่งในเส้นใยที่ช่วยให้ผิวดูอวบอิ่มและเรียบเนียน เปปไทด์จึงสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ ได้

งานวิจัยในปี 2021 ชี้ให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีเปปไทด์ชีวภาพ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนโปรตีนสั้นๆ อาจช่วยลดริ้วรอยเล็กๆ และรอยเหี่ยวย่นได้

2. เรตินอล (retinol)

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

รีดกล่าวว่าเรตินอลยังสามารถลดเลือนรอยเหี่ยวย่นและริ้วรอยเล็กๆ ในช่วงวัยหมดประจำเดือนได้ งานวิจัยในปี 2022 ชี้ให้เห็นว่าเรตินอลสามารถปรับปรุงความยืดหยุ่นของผิวและช่วยให้ผิวชุ่มชื้นได้

3. ครีมกันแดด (sunscreen)

การได้รับแสงแดดเป็นประจำสามารถก่อให้เกิดริ้วรอยได้ ดังนั้นการทาครีมกันแดดเป็นกิจวัตรประจำวันสามารถช่วยปกป้องและป้องกันผิวจากริ้วรอยรวมถึงมะเร็งผิวหนังได้ด้วย

การจัดการความแห้งกร้าน

เมื่อเราอายุมากขึ้น ผิวจะสูญเสียความชุ่มชื้น จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นไว้ได้ เช่น

  • กรดไฮยาลูรอนิก (hyaluronic acid)
  • กลีเซอรีน (glycerin)
  • เซราไมด์ (ceramides)

จากผลการทดลองกลุ่มเล็กในปี 2021 ในผู้หญิง 40 คน อายุ 30 - 65 ปี พบว่าการใช้เซรั่มบำรุงผิวที่มีกรดไฮยาลูรอนิกสามารถช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวได้ และกลีเซอรีนก็สามารถช่วยให้ผิวอุ้มน้ำได้เช่นกัน

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

...

นอกจากนี้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของเซราไมด์สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวในผู้ที่มีอาการผิวแห้งเล็กน้อยถึงปานกลางได้

การจัดการขนบนใบหน้า

รีดแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะดำเนินการขั้นตอนต่อไปเพื่อกำจัดขนบนใบหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาอื่นๆ เช่น ปัญหาต่อมไทรอยด์ หากตรวจแล้วไม่พบปัญหาดังกล่าว ลองใช้วิธีดังต่อไปนี้

  • การกำจัดขนด้วยเลเซอร์ (laser hair removal)
  • การโกน (shaving)
  • การถอน (plucking)
  • การจี้ด้วยไฟฟ้า (electrolysis)

การจัดการสิว

สิวไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเฉพาะในวัยรุ่นเท่านั้น สำหรับปัญหาสิวในวัยหมดประจำเดือน สามารถจัดการได้ด้วยวิธีต่อไปนี้

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

1. กรดซาลิไซลิก หรือกรดไกลโคลิก

แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนว่าสิวเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหนในวัยหมดประจำเดือน แต่รีดกล่าวว่ามันสามารถเกิดขึ้นได้ เธอแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มี กรดซาลิไซลิก (salicylic acid) หรือ กรดไกลโคลิก (glycolic acid)

อย่างไรก็ตาม ส่วนผสมเหล่านี้อาจไม่ได้ผลดีที่สุดสำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนที่มีผิวแห้ง เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคือง จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนและไม่มีส่วนผสมดังกล่าว

2. เรตินอล หรือการทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว (chemical peels)

เรตินอลอาจมีประโยชน์เช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีผิวแห้ง งานวิจัยในปี 2019 ชี้ให้เห็นว่า การทาเรตินอลเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสิวในผู้ใหญ่ แต่ข้อเสียคือทำให้ผิวไวต่อรังสียูวีมากขึ้น

นอกจากนี้การทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว (chemical peels) ที่มีส่วนผสมบางอย่างสามารถลดสิวได้ เช่น

  • กรดซาลิไซลิก
  • กรดไกลโคลิก
  • กรดแมนเดลิก (mandelic acid)

โดยเฉพาะการทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิวแบบผสมผสาน เช่น กรดซาลิไซลิก-กรดแมนเดลิกในเจล หรือการทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดแลคติก อาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีผิวที่บอบบางและผิวมีอายุมากขึ้น

การจัดการรอยดำ

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการสะสมความเสียหายจากแสงแดดเป็นเวลาหลายปีสามารถทำให้เกิดปัญหาเรื่องการสร้างเม็ดสีผิวได้

“สารต้านอนุมูลอิสระเฉพาะที่ที่มีวิตามินซี ช่วยจับอนุมูลอิสระจากแสงแดดและมลภาวะ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และช่วยลดจุดด่างดำ” รีดกล่าว

เปปไทด์ อาจลดสารประกอบที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสีผิว รวมทั้งการทาครีมกันแดดชนิดออกฤทธิ์กว้าง (broad-spectrum sunscreen) ที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 สามารถช่วยลดความเสียหายเพิ่มเติมได้

ขั้นตอนการดูแลผิวในวัย 40+

เมื่อร่างกายของคุณเปลี่ยนแปลง คุณอาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกิจวัตรการดูแลผิวของคุณด้วยเช่นกัน แต่ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากซับซ้อน ที่สำคัญคือควรเลือกผลิตภัณฑ์ไม่กี่ชนิดที่มีส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพอาจให้ผลดีกว่าการทาครีม โลชั่น และเซรั่มจำนวนมาก

...

สิ่งที่ควรทำในชีวิตประจำวันเพื่อการดูแลผิวในช่วงวัยทอง ได้แก่

  1. ล้างหน้า ด้วยน้ำอุ่นและคลีนเซอร์อ่อนโยนที่มี เซราไมด์, กรดไฮยาลูรอนิก และ/หรือ กลีเซอรีน
  2. ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ที่มี เซราไมด์, กรดไฮยาลูรอนิก และ/หรือ กลีเซอรีน
  3. ทาครีมกันแดดแบบ physical sunscreen ที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป หากอยู่กลางแดดควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง
  4. ในเวลากลางคืน ใช้คลีนเซอร์ตัวเดิมและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับวัยผู้ใหญ่ ที่มีส่วนผสมของเปปไทด์ก่อนนอน
  5. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเรตินอล ในเวลากลางคืนเพื่อลดริ้วรอยและสิว แต่ควรใช้ในปริมาณน้อยเพื่อป้องกันการระคายเคือง
  6. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์, กรดไฮยาลูรอนิก และกลีเซอรีน เพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นได้ ในขณะที่เปปไทด์ช่วยลดรอยดำ ริ้วรอยเล็กๆ และรอยเหี่ยวย่น

การทาครีมกันแดดบ่อยๆ ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันริ้วรอยเล็กๆ รอยเหี่ยวย่น และรอยดำเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนังด้วย

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

อย่างไรก็ตามในการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเหล่านี้อาจจำเป็นต้องลองผิดลองถูก เนื่องจากผิวของแต่ละบุคคลจะตอบสนองต่อส่วนผสมที่แตกต่างกันไป เช่น ผู้ที่มีผิวแห้งอาจพบว่าเรตินอยด์ทำให้อาการผิวแห้งแย่ลง และจำเป็นต้องหาผลิตภัณฑ์อื่นทดแทนเพื่อลดริ้วรอย

ที่สำคัญคือต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลผิว เช่น ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์อย่างน้อยวันละครั้งเพื่อรักษาสกินแบร์ริเออร์และทำให้ผิวมีสุขภาพดี สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางสามารถทดสอบผลิตภัณฑ์บนผิวบริเวณเล็กๆ เพื่อเช็กอาการระคายเคืองได้

วิธีทดสอบอาการแพ้

  • ทาผลิตภัณฑ์ปริมาณเล็กน้อยเท่าเหรียญบาทลงบนบริเวณที่ทดสอบ เช่น ข้อพับแขน ใต้ท้องแขนด้านใน วันละสองครั้ง เป็นเวลา 7 ถึง 10 วัน
  • ทาผลิตภัณฑ์ทิ้งไว้บนผิวตามระยะเวลาที่คุณจะใช้ปกติ
  • หากไม่มีอาการเหล่านี้ เช่น ผิวแดง คัน หรือบวม หลังจาก 7 ถึง 10 วัน ก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์นั้นได้
  • หากมีอาการระคายเคือง ให้รีบล้างผลิตภัณฑ์ออกโดยเร็วที่สุดและหยุดใช้

“ควรเริ่มต้นช้าๆ กับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และค่อยๆ เพิ่มปริมาณเมื่อผิวของคุณสามารถทนได้” รีด กล่าว พร้อมแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเกี่ยวกับข้อกังวลเฉพาะ และพิจารณาการทดสอบการแพ้ในคลินิกหากจำเป็น

แพทย์ผิวหนังกล่าวว่าไม่สามารถย้อนเวลาได้อย่างสมบูรณ์หรือถาวร การแก่ชราเป็นกระบวนการทางธรรมชาติ และวัยหมดประจำเดือนก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนั้น

อย่างไรก็ตาม การดูแลผิวพรรณด้วยส่วนผสมบางอย่างก็ช่วยบรรเทาสัญญาณแห่งวัยได้ ไม่ว่าจะเป็น

  • มอยส์เจอร์ไรเซอร์และคลีนเซอร์ที่มี เซราไมด์, กรดไฮยาลูรอนิก และ/หรือ กลีเซอรีน สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นและลดความแห้งกร้านได้
  • การใช้ครีมกันแดดชนิดออกฤทธิ์กว้าง (broad-spectrum sunscreen) ที่มีค่า SPF 30+ เป็นประจำสามารถลดความเสียหายที่เกิดจากแสงแดด รวมถึงริ้วรอยและรอยดำได้

และอย่าลืมว่าส่วนผสมบางอย่างไม่เหมาะกับทุกคน จึงควรทดสอบก่อนใช้ และปรึกษาแพทย์ผิวหนังหากคุณมีอาการแพ้หรือข้อกังวลต่างๆ

ที่มา : Healthline.com