ถ้าจะเจาะลึกถึงประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย คงต้องย้อนกลับไปในรัชสมัยของ “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการแต่งกายอย่างเด่นชัด ถือเป็นครั้งแรกในสยามประเทศ ที่มีการออกกฎให้ข้าราชการและเจ้านายสวมเสื้อเมื่อเข้าเฝ้าฯ เพราะในยุคนั้นบ้านเมืองเราเริ่มติดต่อกับชาวตะวันตกมากขึ้น ทั้งยังมีเหล่าลูกท่านหลานเธอที่เพิ่งกลับจากเมืองนอกนำวัฒนธรรมฝรั่งเข้ามาเผยแพร่ โดยเฉพาะการสังสรรค์ตามคลับสโมสร ที่ฝรั่งเรียกขานว่า “ปาร์ตี้” ก็เป็นตัวจุดประกายให้การแต่งกายสากลนิยมแบบตะวันตกขยายตัวไปสู่กลุ่มชนชั้นกลางอย่างรวดเร็ว จนเกิดเป็นความนิยมแพร่หลายไปทั่วบ้านทั่วเมือง กระนั้น ในช่วงต้นการแต่งกายแบบฝรั่งจะนิยมเฉพาะเวลาออกงาน ที่เหลือส่วนใหญ่ยังนุ่งโจงกระเบนห่มสไบตามแบบวิถีไทยแท้แต่ดั้งเดิม

...

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เจ้านายและขุนนางสวมใส่ชุดยูนิฟอร์มเมื่อเข้าเฝ้าฯ กระนั้น เพื่อให้เหมาะกับสภาพอากาศของเมืองไทย จึงมีการแก้ไขแบบเสื้อจากเสื้อสูทสไตล์ตะวันตก มาเป็นเสื้อนอกสีขาวคอปิดติดกระดุมห้าเม็ด ที่เรียกว่า “ราชแปตแตน” มาจากคำว่า “Raj Pattern” ภายหลังนิยมออกเสียงว่า “ราชปะแตน” โดยครึ่งล่างยังคงนุ่งเป็นผ้าม่วงโจงกระเบน สวมถุงน่องรองเท้าเพื่อความเรียบร้อย เมื่อแต่งกายแบบลำลองจะนุ่งผ้าลอยชาย หรือผ้าโสร่ง สวมเสื้อคอกลมผ้าขาวบาง สมัยนี้ผู้ชายส่วนใหญ่เลิกไว้ผมทรงมหาดไทยกันหมดแล้ว เปลี่ยนมาไว้เป็นผมยาวตัดทรงแสกและทรงเสยแบบฝรั่ง ใครที่ทันสมัยหน่อยก็จะห้อยสายนาฬิกาพกที่อกเสื้อ สวมหมวกและคล้องไม้เท้าที่แขน บ้างก็ไว้หนวดเคราปรกริมฝีปาก ดูมาดเข้มหล่อขึ้นทันตา

สุภาพสตรีในราชสำนักคือผู้นำเทรนด์แฟชั่นตัวจริงในทุกยุคทุกสมัย “สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสุดารัตนประยูร” พระราชธิดาในรัชกาลที่ 3 กำหนดให้เจ้านายฝ่ายในเปลี่ยนจากการนุ่งโจงมานุ่งจีบห่มแพรสไบเฉียงตัวเปล่า กระทั่งในปี 2416 ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 โปรดให้แก้ไขใหม่ โดยยังคงการนุ่งจีบไว้เฉพาะเมื่อจะแต่งกับสไบปัก ซึ่งถือเป็นเครื่องแต่งกายเต็มยศใหญ่ของสตรีในวังเท่านั้น ส่วนการนุ่งโจงจะให้นุ่งกับเสื้อแขนกระบอก พร้อมผ้าสไบเฉียงทับตัวเสื้อ โดยสตรีชาววังจะต้องสวมรองเท้ากับถุงเท้าหุ้มตลอดน่อง

เฉพาะ “เสื้อแขนกระบอก” ก็มีหลากหลายแบบ เพราะมีการดัดแปลงตกแต่งตามความพอใจของแต่ละบุคคล ในยุควัฒนธรรมตะวันตกแพร่หลาย เครื่องประดับชั้นสูงอย่าง สร้อยสังวาลย์, กำไลต้นแขน และจี้ขนาดใหญ่ เริ่มเสื่อมความนิยม โดยสตรีชาววังหันมาชื่นชอบเข็มกลัดติดผ้าสไบในแบบตะวันตก

ต่อมาได้มีการเปลี่ยนจากการห่มสไบมาเป็นสะพายแพรแทน โดยนำเอาแพรที่จับตามขวางเอวมาจีบตามยาวอีกครั้งจนเหลือเป็นผืนแคบ ตรึงให้เหมาะแล้วสะพายบนบ่าซ้าย รวบชายไว้ที่เอวด้านขวา ทำให้เผยความงามของเสื้อแขนกระบอกและเครื่องประดับอาภรณ์ได้เต็มตากว่า

หลังการเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ในปี 2440 มีการนำแบบอย่างการแต่งกายของสุภาพสตรียุโรปมาเผยแพร่ในไทยอย่างคึกคัก แฟชั่นที่โดดเด่นที่สุดแห่งยุคสมัยต้องยกให้ “เสื้อแขนหมูแฮม” ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากชาวผู้ดีอังกฤษในยุคควีนวิคตอเรีย แม้จะมีการประดับประดาลูกไม้อย่างเต็มที่ แต่ท่อนล่างก็ยังคงนุ่งโจงกระเบนผ้าม่วง, ผ้าลาย และผ้าพื้น เพื่ออนุรักษ์ความเป็นไทย นอกจากนี้ สตรีชั้นสูงชาววังยังหันมาใช้เครื่องสำอางและน้ำหอมจากตะวันตก อีกทั้งนิยมไว้ผมทรงดอกกระทุ่ม อันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกยุคสมัยที่น่าจดจำที่สุด

...

มาถึงสมัย “พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6” การแต่งกายของสุภาพบุรุษถูกเปลี่ยนจากนุ่งผ้าลอยชายมาเป็นนุ่ง “กางเกงแพรลายจีน” กับเสื้อคอกลมผ้าขาวบาง เมื่อจะออกนอกบ้านจึงใส่เสื้อทับและสวมหมวก เพื่อความสุภาพเรียบร้อย ส่วนสุภาพสตรียังนิยมนุ่งเสื้อระบายลูกไม้กับโจงกระเบน ก่อนจะหันมานุ่งซิ่นตามแบบพระราชนิยม ขาดไม่ได้คือถุงน่องสีพื้นกับรองเท้าส้นสูง

...

กระแสคลั่งไคล้วัฒนธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาเต็มพิกัดในยุคสมัยของ “ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7” เรียกว่าแต่ละนางเสมือนเดินออกมาจากแมกกาซีนฝรั่งเลยทีเดียว แฟชั่นยอดนิยมแห่งยุคคือ เสื้อตัวหลวมยาวคลุมสะโพก ตกแต่งชายเสื้อด้วยการผูกโบ ท่อนล่างเปลี่ยนจากนุ่งซิ่นมาเป็นผ้าถุงสำเร็จแบบป้ายพอดีเอว ความยาวแค่ระดับคลุมเข่า จับคู่กับถุงน่องไนลอนและรองเท้าส้นสูง สตรียุคนี้ยังนิยมไว้ผมบ๊อบสั้น และเริ่มดัดผมเป็นลอนตามแบบสุภาพสตรีฝรั่ง

อย่างไรก็ดี รูปแบบแฟชั่นของไทยเริ่มเปลี่ยนโฉมหน้าครั้งใหญ่ในยุคของ “จอมพล ป. พิบูลสงคราม” ซึ่งชูนโยบายสำคัญสร้างชาติด้วยลัทธิชาตินิยม มีการวางระเบียบปฏิบัติการแต่งกายสตรีที่เป็นข้าราชการ ถึงขั้นจัดตั้งสภาวัฒนธรรมฝ่ายหญิงคอยกำหนดเครื่องแต่งกายของผู้ประกอบการวิชาชีพต่างๆ เช่น เครื่องแต่งกายสำหรับช่างตัดผม, พนักงานเสิร์ฟ และกุ๊ก รวมถึงจัดระเบียบการแต่งกายให้ถูกต้องตามกาลเทศะ เช่น งานพระราชพิธี, งานแต่งงาน และงานราตรีสโมสร ยุคนี้ยังเป็นยุค “มาลานำชาติไทย” ให้ความสำคัญกับแฟชั่นหมวกมาก เพราะถือว่าเป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศ

และในยุคนี้เองที่ชายไทยเริ่มนิยมแต่งกายตามอย่างตะวันตกเต็มตัว มีการใส่เสื้อชั้นนอกทั้งแบบคอเปิดและคอปิด จับคู่กับกางเกงขายาวแบบสากล และสวมรองเท้ากับถุงเท้า สำหรับกางเกงผ้าแพรและกางเกงผ้าม่วงที่เคยนิยมกัน ถูกห้ามไม่ให้ใส่ออกนอกบ้าน เพราะไม่สุภาพ ในยุคนี้ยังเกิดแฟชั่นใหม่นั่นคือ “กางเกงขาสั้นแบบไทย” นอกจากจะเป็นยูนิฟอร์มของชุดนักเรียนชายมาถึงปัจจุบัน หนุ่มๆยุคนั้นยังนิยมใส่เล่นกีฬา และใส่ลำลองไปสโมสร เหมือนที่เห็นในละครท่านชายพจน์กับปริศนา

...

ระหว่างปี 2500-2525 แฟชั่นไทยก้าวสู่จุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง โดยการแต่งกายส่วนใหญ่เป็นไปตามแนวราชนิยมเป็นหลัก เป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดชุดแต่งกายประจำชาติ ที่มีแบบแผนเดียวกันทั้งประเทศ เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของชาติไทยขึ้นใหม่ ริเริ่มโดย “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” มีพระราชดำริระหว่างตามเสด็จประพาสทวีปยุโรปและอเมริกาว่า คนไทยยังไม่มีชุดแต่งกายประจำชาติที่เป็นแบบแผนเหมือนชาติอื่น จึงโปรดให้ “ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค” หารือกับผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ค้นคว้าเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของไทยสมัยต่างๆ และโปรดให้ช่างตัดฉลองพระองค์ “คุณหญิงอุไร ลืออำรุง” เลือกแบบต่างๆมาดัดแปลงแก้ไขให้เหมาะสมจนได้ชุดไทยพระราชนิยมหลายแบบ กำหนดให้ใช้ในวาระต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสำคัญมาถึงปัจจุบัน

เช่น “ชุดไทยเรือนต้น” ใช้ในโอกาสลำลอง งานไม่เป็นพิธีการ เช่น งานกฐิน และงานบุญต่างๆ, “ชุดไทยจิตรลดา” เหมาะเป็นชุดไทยพิธีกลางวัน ใช้ในงานที่ผู้ชายแต่งเต็มยศ เช่น พิธีสวนสนามในวันเฉลิมพระชนมพรรษา, “ชุดไทยอมรินทร์” สำหรับพิธีตอนกลางคืน เหมาะกับงานเฉพาะวันเฉลิมพระชนมพรรษา, “ชุดไทยบรมพิมาน” ใช้พิธีตอนค่ำ เพิ่มความหรูหราด้วยผ้ายกไหม หรือผ้ายกทองมีเชิง ใช้ในงานเต็มยศ หรือครึ่งยศ ตลอดจนงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ ส่วน ชุดไทยจักรี, ชุดไทยจักรพรรดิ, ชุดไทยสุโขทัย และชุดไทยศิวาลัย ซึ่งมีความวิจิตรงดงามเป็นพิเศษ กำหนดให้ใช้ในงานพิธีเต็มยศ และงานราตรีอย่างเป็นทางการเท่านั้น

และด้วยพระปรีชาชาญด้านแฟชั่นของ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูอนุรักษ์ผ้าไทยและชุดไทยประจำชาติ ให้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของชาติมาจนถึงปัจจุบัน.

อาคีรา