Highlight :
- แคลเซียมมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตอย่างมาก
- ถ้าร่างกายขาดแคลเซียม หรือมีอาการที่เรียกว่า ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำกว่าปกติ (Hypocalcemia) นอกจากส่งผลต่อกระดูกแล้ว ยังทำให้ระบบการทำงานของร่างกายผิดปกติไปด้วย
- อาการขาดแคลเซียมเกิดจากหลายสาเหตุ Lady MIRROR สามารถสังเกตได้จากลักษณะของเล็บที่มีความแห้ง เปราะ และแตกง่าย ในส่วนของกระดูกและฟัน จะมีอาการปวดฟัน ฟันโยกคลอน เมื่ออาการรุนแรงมากขึ้น จะมีภาวะกระดูกพรุนที่เสี่ยงต่อกระดูกอ่อนหัก กระดูกบิดเบี้ยวผิดรูป หลังโก่งงอ และฟันหลุดร่วง
เรื่องของ "สุขภาพ" ใช่ว่าจะเสกได้ดั่งใจ มีเงินก็ไม่ได้แปลว่า สุขภาพจะดีตามจำนวนเงินที่มีนะคะ ทุกอย่างวัดกันด้วย "การมีสุขภาพดีและไม่มีโรคภัยเบียดเบียน" ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เราเร่งรีบ เวลาจะดูแลตัวเองนับวันยิ่งมีน้อยลง โดยเฉพาะกับสาวๆ วัยทำงาน เราต่างทุ่มเทไปกับการทำงาน และสูญเสียเวลาไปกับการเดินทาง ไม่นานสุขภาพเราก็จะทรุดโทรมลงด้วย Lady MIRROR รู้หรือไม่? เมื่อเราใช้ร่างกาย เราก็ต้องดูแลด้วย "กินอิ่ม นอนหลับ ออกกำลังกาย" น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด ดังนั้นเราควรเลือกสิ่งที่ดีและมีประโยชน์มาบำรุงรักษาร่างกายกัน
อาหารที่ดี สารอาหารที่มีประโยชน์ แร่ธาตุที่จำเป็น หรือวิตามินที่ขาดไม่ได้ ยังคงเป็นสิ่งที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ วันนี้ MIRROR อยากพาทุกคนไปรู้จักสารอาหารอย่าง "แคลเซียม" ซึ่งถือเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นอย่างมากต่อร่างกายเรา ลองคิดดูว่า...ถ้าร่างกายของเราขาดแคลเซียม ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร?
...
รู้ลึก "แคลเซียม" กับความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต
"แคลเซียม" มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะในระบบสรีรวิทยาของเซลล์และการยืดหดตัวของกล้ามเนื้อ และยังมีการระบุว่า ปัจจุบันอาหารของชาวเอเชียที่มีปริมาณแคลเซียมสูงมีเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีในผลิตภัณฑ์ประเภทนม ถั่วเหลือง และผักชนิดต่างๆ อย่างเช่น ถั่ว นม น้ำส้มคั้น และขนมขบเคี้ยวที่ทำจากธัญพืช ก็นับเป็นแหล่งแคลเซียมที่หาง่ายและมีรสชาติ ซึ่งจะช่วยให้ Lady MIRROR ได้รับปริมาณแคลเซียมที่มีอยู่ในอาหารมากยิ่งขึ้น
เช็กลิสต์ร่างกายขาดแคลเซียม
เมื่อ "แคลเซียม" เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายในการสร้างและรักษากระดูกและฟันให้มีความแข็งแรง ถ้าร่างกายขาดแคลเซียม หรือมีอาการที่เรียกว่า ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำกว่าปกติ (Hypocalcemia) นอกจากส่งผลต่อกระดูกแล้ว ยังทำให้ระบบการทำงานของร่างกายผิดปกติไปด้วย
ทั้งนี้อาการขาดแคลเซียมเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม การขาดอาหาร หรือการใช้ยาบางชนิด Lady MIRROR สามารถสังเกตได้จากลักษณะของเล็บที่มีความแห้ง เปราะ และแตกง่าย ในส่วนของกระดูกและฟัน จะมีอาการปวดฟัน ฟันโยกคลอน เมื่ออาการรุนแรงมากขึ้น จะมีภาวะกระดูกพรุนที่เสี่ยงต่อกระดูกอ่อนหัก กระดูกบิดเบี้ยวผิดรูป หลังโก่งงอ และฟันหลุดร่วง ขณะที่ "แคลเซียม" ยังมีส่วนสำคัญในการส่งสัญญาณประสาทจากสมองไปสู่กล้ามเนื้อ จึงทำให้ปวดหลัง ปวดข้อ ชากล้ามเนื้อแขน ขา ปลายมือ ปลายเท้า และลุกลามไปถึงส่วนอื่นของร่างกายได้ บางครั้งจะเป็นตะคริวหรือกล้ามเนื้อกระตุก ซึ่งไม่เป็นอันตรายนักหากเกิดในบริเวณกล้ามเนื้อทั่วไป แต่ถ้าเกิดในบริเวณกล้ามเนื้อหัวใจ หรืออวัยวะที่สำคัญ จะมีอันตรายถึงชีวิต
นอกจากนี้ หากเรามีอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เหนื่อยล้า ง่วงเหงาหาวนอน อ่อนเพลียโดยหาสาเหตุไม่ได้ คนส่วนใหญ่จะไม่ได้นึกถึงการขาดแคลเซียม แม้ว่าจะมีความเสี่ยงก็ตาม ทั้งนี้หากเป็นต่อเนื่องอาจส่งผลร้ายไปถึงการทำงานของระบบสมองและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมาได้
"ผู้หญิง" เสี่ยงกว่าผู้ชาย อาการปวดประจำเดือนก็เช่นกัน
เพศหญิงมีความเสี่ยงอาการขาดแคลเซียมมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะสตรีมีครรภ์และสตรีวัยหมดประจำเดือน สตรีมีครรภ์ต้องการแคลเซียมจำนวนมาก เพื่อการเติบโตของทารก และสตรีวัยหมดประจำเดือนต้องการแคลเซียมทดแทนภาวะสูญเสียมูลกระดูก จากการที่ฮอร์โมนในร่างกายลดต่ำลง สำหรับสาวๆ บางคนจะมีอาการปวดเกร็งช่องท้องอย่างรุนแรงผิดปกติ โดยเฉพาะระหว่างการมีประจำเดือน การขาดแคลเซียม ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งได้เช่นกัน
รวมวิธีการเพิ่มแคลเซียม
ภาวะขาดแคลเซียมสามารถป้องกันได้โดยการตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ออกกำลังกายรับแสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสังเคราะห์วิตามินดี ที่จะช่วยดูดซึม "แคลเซียม" ให้ร่างกาย แนะนำให้หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม และอาหารที่มีรสชาติเค็มจัด เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงจากธรรมชาติ ได้แก่ กลุ่มผักใบเขียว เช่น คะน้า บรอกโคลี กลุ่มนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง เต้าหู้ ไข่ไก่ โยเกิร์ต และกลุ่มอาหารจำพวกถั่วต่างๆ เช่น ถั่วขาว ถั่วแระ เมล็ดอัลมอนด์ และอาหารอย่าง ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ข้าวโอ๊ต เมล็ดงา และน้ำส้ม
...
ปริมาณแคลเซียม...ที่ร่างกายต้องกาย
นอกเหนือจากนี้ เรายังสามารถเพิ่มแคลเซียมด้วยผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแคลเซียมแบบเม็ดได้ แต่การกินแคลเซียมชนิดที่ดูดซึมไม่ดี ก็อาจทำให้สาวๆ มีอาการท้องอืดหรือท้องผูก และหากินเกินความจำเป็น จะทำให้เกิดการสะสมของหินปูนในเต้านม ไต และหลอดเลือด ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นเราไม่ควรรับประทานแคลเซียมเกิน 1500 มิลลิกรัม/วัน โดยปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายควรได้รับ คือ 800-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งแตกต่างไปตามแต่ละช่วงอายุ เช่น
- อายุ 9-18 ปี ควรได้รับ 1,000 มิลลิกรัม/วัน หรือเท่ากับนม 4-5 แก้ว
- อายุ 19-40 ปี ควรได้รับ 800 มิลลิกรัม/วัน หรือเท่ากับนม 3-4 แก้ว
- อายุ 41-50 ปี ควรได้รับ 1,000 มิลลิกรัม/วัน หรือเท่ากับนม 4-5 แก้ว
- ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ และอายุมากกว่า 60ปี ควรได้รับ 1,200 มิลลิกรัม/วัน หรือเท่ากับนม 6-7 แก้ว
อย่างไรก็ตามหากกิน "แคลเซียม" ในปริมาณที่มากเกินไปจนเกิดการสะสม จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไต หินปูนในเต้านม มะเร็งเต้านม หินปูนในหลอดเลือด และหลอดเลือดตีบตันได้เช่นกัน ดังนั้นแนะนำให้กินจากอาหารที่มีแคลเซียมจะดีที่สุด
...