ธีรศิลป์ แดงดา
เห็นข่าวนักเตะไทยออกไปค้าแข้งยังต่างแดนกี่ครั้งก็รู้สึกภาคภูมิใจ เพราะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเด็กไทยว่ามีดีแค่ไหน อย่างล่าสุด “เจ้ามุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา อดีตกองหน้าทีม “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทองยูไนเต็ด เพิ่งเซ็นสัญญาไปร่วมทีม “อัศวินสีส้ม” ชิมิสุ เอสพัลส์ ในศึกเจลีก อย่างเป็นทางการ
ก่อนหน้านี้ 2 นักเตะของกิเลนผยอง อย่าง “เจ้าเจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ กับ “เจ้าอุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน ต่างก็ประสบความสำเร็จในการค้าแข้งที่แดนปลาดิบมาแล้ว โดยเฉพาะเจ้าเจถือเป็นนักเตะไทยคนแรกที่มีค่าตัวในการค้าแข้งต่างแดนที่แพงที่สุด
เมื่อเทียบกับยุคก่อนๆ นักเตะไทยมักจะถูกดึงไปเล่นในย่านอาเซียนอย่างสิงคโปร์ เวียดนาม อยู่เป็นประจำหลายคน เพราะเขาเห็นว่าบอลไทยสุดเจ๋งเป็นพี่เบิ้มในอาเซียน
ดีสุดก็คงเป็นยุคของ “เดอะตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ที่ร่วมเล่นกับสโมสรในแดนโสม ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วในช่วงนั้น
แต่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วยุคทองที่นักเตะไทยเคยไปค้าแข้งในอาเซียนแทบหมดไปแล้ว ตรงกันข้ามตอนนี้สโมสรในลีกสูงสุดของไทยกลับไปดึงนักเตะอาเซียนมาร่วมทีมตามโควตาที่สมาคมในยุค “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ุม่วง ได้วางกรอบไว้
อย่างที่เคยบอกหลายครั้งแนวความคิดของสมาคมยุคนี้คิดผิดถนัดที่เปิดโอกาสให้นักเตะต่างชาติเข้ามามีบทบาทมากเกินไป ส่วนหนึ่งเพราะขาใหญ่บางสโมสรคิดเพียงอย่างเดียวว่าต้องการแชมป์ตลอดโดยไม่คำนึงถึงผลเสียในอนาคตจะว่าเกิดอะไรขึ้น
การที่เราให้ความสำคัญนักเตะต่างชาติมากเกินไปทำให้สโมสรเล็กๆหมดโอกาสได้ถือถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดเพราะไม่มีกำลังพอที่จะไปซื้อนักเตะต่างแดนราคาแพงๆมาร่วมทีม
ไม่เหมือนสโมสรใหญ่ๆที่มีทุนหนามีสปอนเซอร์รายใหญ่ร่วมหนุนทำให้มีกำลังมากพอในการซื้อนักเตะดีๆราคาแพงมาร่วมทีมหลายทีม
การไม่ค่อยให้ความสำคัญกับนักเตะไทยนั้นย่อมเกิดผลเสีย โดยเฉพาะการพัฒนาที่หยุดชะงักทำให้เวทีที่จะเป็นเครื่องแสดงความสามารถนั้นหมดไปด้วย สุดท้ายการพัฒนาฝีเท้าก็ไม่เกิดขึ้น หรือมีน้อยกว่าเดิม
เพราะสุดท้ายก็อาจโชว์ได้เพียงแค่ระดับรองลงมา โอกาสที่จะขึ้นไปโดดเด่นเหนือต่างชาติคงมีน้อย
สุดท้ายพอนักเตะไทยต้องแข่งในนามทีมชาติผลงานก็ด้อยไปด้วย เหมือนในหลายเกมที่ผ่านมาที่ทีมช้างศึกไทยพลาดหวังอยู่บ่อยๆ อย่างซีเกมส์ และชิงแชมป์เอเชีย
จริงอยู่การใช้นักเตะต่างชาติที่มีฝีเท้าดีร่วมทีมทำให้โอกาสหรือความหวังที่จะได้ครองแชมป์มีสูง ซึ่งช่วงหลายปีแรกก็พอไหว แต่พอระยะยาวงบที่วางไว้เริ่มหมดลง ยิ่งในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ด้วยแล้ว บรรดาสปอนเซอร์ที่เคยมีอย่างดาษดื่นก็ลดน้อยลง
เมื่อนั้นสติสตางค์ก็เริ่มกลับคืนมา และเริ่มซื้อนักเตะที่ลดเกรดลงมา
ยิ่งเมื่อเห็นเงินรางวัลของลีกสูงสุดที่ได้รับเมื่อบวกลบคูณหารยังไงก็ไม่คุ้ม เพราะแชมป์รับแค่ 10 ล้านบาท แต่งบประมาณที่ทุ่มเทในการซื้อตัวนักเตะภายในทีมหากเทียบดูแล้วใช้ได้มีกี่เดือนก็หมดไป
วันนี้ทีมคู่แข่งในอาเซียนอย่างเวียดนาม รวมถึงมาเลเซีย เขาขยับพัฒนาก้าวไปข้างหน้าและมีผลงานดีกว่าไทย โดยเฉพาะเวียดนามที่ดูเหมือนจะชัดเจนที่สุด
แต่เอาเถอะทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่คงต้องรอดูว่าใครจะมานั่งเก้าอี้ประมุขบอลคนต่อไป
หากได้คนดีมีฝีมือและรักฟุตบอลจริง วงการลูกหนังบ้านเราจะไปไกลและโกอินเตอร์มากกว่านี้
ไม่เชื่อก็ลองดู