ไทยรัฐออนไลน์
หลังสิ้นเสียงนกหวีดยาวเมื่อค่ำคืนวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่าน ปรากฏว่า "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกไปพลาดท่าปราชัยให้กับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ถึงถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ 1-2 ส่งผลให้ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำทีมของ เยอร์เกน คลอปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน คว้าแชมป์ "พรีเมียร์ลีก อังกฤษ" มาครองได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร และถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปี ซึ่งทำให้บรรดาแฟนบอลของทีมต่างออกมาเฉลิมฉลองกันอย่างบ้าคลั่ง ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างเต็มเหนี่ยว ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นว่าพวกเขารอคอยมานานแค่ไหน
ซึ่ง ทีมข่าวกีฬาไทยรัฐออนไลน์ ได้บุกไปสัมภาษณ์ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตกองหน้าและกุนซือทีมชาติไทย ที่ถือว่าเป็นแฟนบอลพันธุ์แท้คนหนึ่งของ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล มาร่วมพูดคุย แสดงทรรศนะ และไล่เรียงย้อนรอยเหตุการณ์ตั้งแต่ได้แชมป์ลีกครั้งสุดท้ายเมื่อ 30 ปีที่แล้วสู่แชมป์ครั้งล่าสุดที่รอคอยในครั้งนี้
เล่าย้อนความทรงจำกับ ลิเวอร์พูล ในวัยเด็ก
ตอนเด็กๆ ก็เป็นเด็กชายโก้ ชื่อเล่นชื่อโก้ (ยิ้ม) ก็เป็นเด็กที่ชอบเล่นกีฬาทุกประเภท ทั้ง ฟุตบอล, ตะกร้อ, บาสเกตบอล, วอลเลย์บอล, แบดมินตัน เล่นยิมนาสติก และก็หกคะเมนตีลังกา และก็เป็นนักวิ่ง วิ่ง 100 เมตร (4x100) วิ่งมาราธอน วิ่งทางไกล ก็ครอบครัวเป็นครอบครัวนักกีฬา มีพี่สาว 2 คนก็เป็นนักกีฬา คุณพ่อคุณแม่ก็เป็นนักฟุตบอล พ่อเป็นนักฟุตบอล เป็นนักตะกร้อ คุณแม่เป็นนักบาส เป็นนักวิ่ง คือสมัยก่อนเรียกว่าเราอาจจะไม่มีสื่อสารมวลชน มันอาจจะมีทีวีหมู่บ้านละเครื่อง ตอนนั้นจะมีวิทยุซะมากกว่า ก็ฟังแต่จะไม่ค่อยมีทีวี ถ้ามีก็จะเป็นทีวีขาวดำ แต่บ้านเรามีทีวีอยู่บ้านเดียวของหมู่บ้าน ตอนนั้นใช้เครื่องหม้อแปลงปั่นไฟ คนในหมู่บ้านก็จะมาดูข่าว มีมาดูกีฬา ข่าวกีฬา ข่าวทั่วไป ก็มีมาดูหนังดูละครที่บ้าน เราก็มีความรู้สึกว่าเราได้ดูบอลที่ถ่ายทอดสด ก็ได้ดูฟุตบอลหลากหลายประเทศ แล้วก็จะมีสโมสรบราซิล ทีมชาติบราซิล แล้วก็จะมีฟุตบอลอังกฤษ
เกมในวัยเด็กที่ประทับใจมากที่สุด
ถ้าเป็นแมตช์จริงๆ แล้วอาจจะจำไม่ได้ เพราะว่ายุคของ ลิเวอร์พูล ช่วงนั้นเขาเรียกว่าเครื่องจักรสีแดง เจอใครก็ถล่ม ถล่มไม่เลี้ยง แล้วคำว่าเครื่องจักรสีแดงหมายความว่า 90 นาทีเนี่ยไม่มีหมด แล้วยังต่อบอลสวยงาม แล้วที่ชื่นชอบที่สุดก็คือแนวรุกนะครับ ไม่ว่าจะเป็น ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์, จอห์น บาร์นส์, เอียน รัช หรือจริงๆ ช่วงหลังก็จะมี จอห์น อัลดริดจ์ ด้วยนะครับ ก็คือเป็นๆ เขาเรียกว่าเครื่องจักรที่ทรงพลัง นี่คือเหตุผลที่เลือกเชียร์
นักเตะในดวงใจ
ก็ 3 คนที่ว่านั่นแหละ เอียน รัช, ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ แล้วก็ จอห์น บาร์นส์ แต่ ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ มันเหมือนกับทรงบอลหรือรูปร่างคล้ายกัน เพราะว่า ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ รูปร่างเล็ก ตัวไม่ใหญ่ เราก็เลยคิดว่าเราเป็นนักฟุตบอลตำแหน่งศูนย์หน้าที่ตัวเล็ก
11 ตัวจริง ลิเวอร์พูลในดวงใจ
11 ตัวจริงในทุกยุคเลยใช่มั้ย ขอเป็น ประตูก็เป็น อลิสสัน เบคเกอร์, แบ็กขวา-แบ็กซ้ายก็จะเป็น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และก็เซ็นเตอร์ 2 คนน่าจะเป็น เวอร์จิล ฟานไดค์ กับ ซามี ฮูเปีย ซึ่งมีเสื้อ ซามี ฮูเปีย อยู่ที่บ้าน ได้ตอนที่ ซามี ฮูเปีย มาแข่งที่เมืองไทย และก็ได้แลกเสื้อกับ ซามี ฮูเปีย ถ้ากองกลางขอเป็น สตีเวน เจอร์ราร์ด ก่อน แล้วก็เป็น แพทริค แบร์เกอร์ แล้วก็ปีกซ้ายขอเป็น จอห์น บาร์นส์ ปีกขวาขอเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แล้วก็ ศูนย์หน้าขอเป็น เอียน รัช กับดวงใจของเรา ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ ในระบบ 4-4-2 แล้วกัน
เกมไหนที่ไปชมที่สนามประทับใจมากที่สุด
แมตช์ที่ชอบที่สุดที่ไปชมที่สนามเหรอ น่าจะเจอกับ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ แล้วกัน เพราะว่าวันนั้นน่าจะกด ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ไปสัก 5-0 แล้วเย็นวันนั้นไปดูที่สนามแล้วก็เชียร์ทั้งสองทีม เพราะ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ เป็นทีมเก่าของเรา เหมือนเชียร์ทีมรักด้วย แต่ในวันนั้นเราเชียร์ ลิเวอร์พูล เราก็เลยอยากให้ ลิเวอร์พูล ชนะ แต่ยิงเยอะไปหน่อย
ย้อนความไปถึงตอนที่คว้าแชมป์ครั้งสุดท้ายเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
แชมป์เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เอ่อ..มันเห็นแต่ความรู้สึกว่าเครื่องจักรสีแดง ยิงทุกทีมที่ขวางหน้า ถามว่าจำได้มากน้อยขนาดไหน อาจจะจำได้ไม่มาก มันแค่ได้เห็นภาพตอนชูถ้วยแชมป์นี่แหละทั้งทีม มันก็ยังอยากเห็นว่าทีมรักของเราเมื่อไรจะได้กลับมาสักที
ความรู้สึกจากแชมป์เมื่อ 30 ปีที่แล้วสู่แชมป์ล่าสุดในครั้งนี้
นานมาก จากที่เป็นแฟนบอลคนหนึ่งเนี่ย ถ้าไม่รักจริงเนี่ยอาจจะเปลี่ยนทีมเชียร์ได้ เพราะแค่ว่าปีถัดมาไม่ได้แชมป์ก็มีความรู้สึกว่าอะไรวะ มันจะดาวน์ แต่ด้วยความที่เรารักในสโมสร แพ้ชนะเราก็ต้องเชียร์ใช่มั้ย แต่เราไม่คิดว่ามันจะนานมาก
เมื่อมาถึง 30 ปีที่รอคอย ความรู้สึกจากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นยังไงบ้าง
30 ปีที่รอคอยเนี่ยมันก็อาจจะมีชดเชยในบางช่วงเวลา ได้แชมป์ เอฟเอคัพ ได้แชมป์ ยูโรเปี้ยน ได้แชมป์ยุโรป ได้แชมป์เล็กๆ น้อยๆ แต่ก็พอที่จะชดเชยได้บ้าง แต่มันก็มีคำถามว่าเมื่อไรจะได้แชมป์ลีกสักที มันเป็นคำถามที่เรานึกในใจมาตลอด ถ้าถามว่าทำให้เราชื่นชอบทีมน้อยลงมั้ย มันไม่มีความรู้สึกนั้น
ทีมแชมป์ชุด 30 ปีที่แล้ว กับทีมแชมป์ลีกครั้งล่าสุดนี้ แต่ละทีมมีจุดแข็งยังไง
จุดแข็งเอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องของแท็กติก แต่ตัวผู้เล่น สไตล์การเล่นของฟุตบอลอังกฤษมันดุดันอยู่แล้ว ลิเวอร์พูล ก็คือถ้าเล่นกับใครก็ดุดันอยู่แล้ว ในยุคก่อนไม่ต้องพูดถึง ดุดันเปิดหน้าเข้าแลก แต่ทีมแชมป์ครั้งนี้มันเป็นเรืองของกลยุทธ์ แท็กติกของโค้ชของผู้จัดการทีมก็แตกต่างกันไป
ย้อนกลับไปซีซั่นที่แล้วกับซีซั่นนี้ทีมมีการเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง
ซีซั่นที่แล้วกับซีซั่นนี้ทีมจริงๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลง 11 ตัวจริงก็เหมือนเดิม ผู้เล่นสำรองก็มีเหมือนเดิม มันแตกต่างแค่ไม่ได้แชมป์แค่นั้นเองเพราะว่าปีที่แล้วเราได้แชมป์ยุโรป ถ้าได้แชมป์ลีกก็คงจะสมบูรณ์แบบมาก แต่ต้องยอมรับว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เนี่ย ทีมที่เป็นแชมป์เนี่ยต้องยอมรับเขาจริงๆ ว่าเราเป็นแชมป์ปีนี้ต้องเจอกับทีมที่แข็งแกร่ง ไม่ได้หมายความว่าทีมที่เป็นคู่ต่อสู้เราด้อยลงไป ปีที่แล้วเราไม่ได้แชมป์เพราะว่าทีมคู่ต่อสู้เราแข็งแกร่งมาก เราถึงไม่ได้แชมป์ แต่ปีนี้ทีมคู่ต่อสู้ของเราก็ยังแข็งแกร่งอยู่แต่เราละเอียดมากขึ้น เราละเอียดตรงที่แบบว่าแต้มนึงก็มีผล แสดงว่าในปีนี้เราละเอียดตั้งแต่แมตช์แรกเลย จะเห็นได้ว่าในปี้นี้บางเกมเน้นผลพอได้หนึ่งประตูแล้วอาจจะไม่ได้เปิดแรกเหมือนเมื่อก่อน แต่ก่อนยังมีเปิดแลกแล้วก็เสียประตู แต่ครั้งนี้เริ่มต้นฤดูกาลจะเห็นได้ว่าละเอียดมากขึ้นในทุกๆ เกม
คิดว่าทีมชุดนี้มีจุดอะไรที่ต้องปรับ
มันก็มีอยู่แล้วในชุดที่ต้องปรับเพราะว่าตอนนี้คู่ต่อสู้ก็เริ่มจับทางได้ ดังนั้นเราก็ต้องมีความหลากหลายมากขึ้น เพราะเขาก็จะเห็น 11 ตัวจริงของเรา ว่าแต่ละคนเป็นยังไง เห็นตัวสำรองเราแต่ละคนเป็นยังไงก็เป็นหน้าที่ของผุ้จัดการทีมอย่าง เยอร์เกน คลอปป์ ว่าในฤดูกาลต่อไปจะมีการปรับเปลี่ยนยังไง ซื้อตัวผู้เล่นเพิ่มขนาดไหน แต่เชื่อว่าเขาดูไว้แล้ว
มองไปถึงซีซั่นหน้าไว้ยังไง
ได้แชมป์ซีซั่นนี้แล้วซีซั่นหน้ายังไงก็ได้ (หัวเราะ) เพราะว่ามันเป็นจังหวะและโอกาสของแต่ละทีม เราอย่าไปยึดติดกับคำว่าแชมป์ ถ้ารักษาผลงานได้ดีก็อาจจะได้แชมป์ต่อได้ ถ้าขึ้นแล้วก็รักษาฐานให้มันค่อยๆ ลงหรือจะขึ้นไปต่อ ตอนนี้เรียกได้ว่ามันเป็นช่วงของความมั่นใจ ฟุตบอลภ้ามีความมั่นใจบางครั้งก็จะเป็นจุดแข็งของทีม วันนี้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ก็ได้แล้ว แชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ก็ได้แล้ว มันก็ขึ้นอยู่กับว่าความทะเยอทะยาน ความท้าทายของนักเตะเก่ายังมีความอยากที่จะเป็นแชมป์อีกมั้ย.