รู้จัก “ชีค ฮาสินา” อดีตนายกฯ หญิงบังกลาเทศ ผู้ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด สู่คำตัดสินประหารในความผิดฐาน “ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” จากการสั่งปราบผู้ชุมนุม 

บังกลาเทศ มีคำตัดสินคดีครั้งสำคัญ เมื่อ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา เมื่อศาลอาชญากรรมสงครามของบังกลาเทศ (International Crimes Tribunal - ICT) ได้ตัดสินโทษประหารชีวิต นางชีค ฮาสินา อดีตนายกฯ หญิง ที่ถูกโค่นล้มอำนาจ ในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จากการปราบปรามการชุมนุมเมื่อปี 2567 และมีผู้เสียชีวิตกว่า 1,400 คน 

“ชีค ฮาสินา” คือใคร?

ชีค ฮาสินา วัย 78 ปี อดีตนายกฯ บังกลาเทศ ประเทศมุสลิมในเอเชียใต้ ที่มีประชากรกว่า 170 ล้านคน โดยดำรงตำแหน่ง 2 ครั้ง ครั้งแรกปี พ.ศ. 2539 - 2544 และครั้งที่ 2 คือปี 2552 - 2567 รวมดำรงตำแหน่งยาวนาน 19 ปี นานที่สุดในประวัติศาสตร์ของบังกลาเทศ 

ชีค ฮาสินา เกิดในตระกูลการเมือง เธอเป็นลูกสาวของชีค มูจิบูร์ เราะห์มาน "บิดาแห่งบังกลาเทศ" ผู้มีบทบาทสำคัญในการพาประเทศสู่การประกาศเอกราชจากปากีสถานในปี พ.ศ.2514 และดำรงตำแหน่งนายกฯ และประธานาธิบดีคนแรกของบังกลาเทศ ในช่วงการดำรงตำแหน่งของเธอ บังกลาเทศมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันก็มีข้อครหาเรื่องการพยายามปิดปากฝ่ายตรงข้าม

...

ศาลอาชญากรรมสงครามของบังกลาเทศ (ICT) ก็เป็นศาลที่เธอตั้งขึ้นในปี 2552 ซึ่งผลสำรวจพบว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน ขณะเดียวกันก็มีข้อกล่าวหาว่าถูกใช้เพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมือง เนื่องจากผู้ที่ถูกตัดสินหลายคนมีเกี่ยวข้องกับพรรคจามาอัต-อี-อิสลามี (Jamaat-e-Islami) พรรคอิสลามที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และเป็นคู่แข่งสำคัญของเธอ

เหตุประท้วงนองเลือด

เหตุการณ์ประท้วงที่นำมาสู่การตัดสินประหารชีวิต ชีค ฮาสินา เกิดขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 นำโดยกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ประท้วงการนำ "ระบบโควตาข้าราชการ" กลับมาใช้ใหม่ ซึ่งระบบนี้จะสงวนตำแหน่ง 30% ให้ครอบครัวของทหารผ่านศึกจากสงครามประกาศอิสรภาพจากปากีสถานปี พ.ศ. 2514

ต่อมาการชุมนุมขยายตัวเป็นวงกว้างไปถึงประเด็นอื่นๆ ทั้งความไม่พอใจในการบริหาร ข้อกล่าวหาทุจริต จนกลายเป็นการประท้วงขับไล่รัฐบาลยาวนานนับเดือน มีการใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,400 คน ในนั้นจำนวนมากเป็นเยาวชน และบาดเจ็บอีกหลายพันคน

การประท้วงรุนแรงต่อเนื่อง จนเมื่อวันที่ 5 ส.ค. ผู้ประท้วงบุกเข้าทำเนียบนายกฯ ทำให้นางชีค ฮาสินา ตัดสินใจประกาศลาออกจากตำแหน่ง และเดินทางออกนอกประเทศทันที

ปัจจุบันนางฮาสินา ลี้ภัยอยู่ในประเทศอินเดีย ขณะที่ บังกลาเทศ ถูกปกครองโดยรัฐบาลรักษาการ นำโดยนายมูฮัมหมัด ยูนุส ผู้ชนะรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี พ.ศ.2549 

รายงานของสหประชาชาติ ที่เผยแพร่เมื่อเดือน ก.พ.68 ระบุว่า จำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 1,400 คน อาจถือเป็น "อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ" รายงานยังได้ระบุด้วยว่า มีการใช้ปืนยิงผู้ชุมนุมระยะประชิด จงใจทำให้พิการ การทรมาน และจับกุมตามอำเภอใจ

เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างนางฮาสินา ที่อนุญาตให้ใช้ “อาวุธหนัก” กับผู้ชุมนุม ซึ่งคลิปเสียงนี้ได้รับการยืนยันจาก BBC และถูกใช้เป็นหลักฐานในศาลด้วย

คำตัดสินประหารชีวิต

ศาลอาชญากรรมสงครามของบังกลาเทศ (ICT) พิจารณาคดีลับหลัง (in absentia) โดยอัยการได้ยื่นคำฟ้องจำนวน 135 หน้า พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานจำนวน 8,747 หน้า

...

ศาลรับฟังคำให้การหลายเดือน ก่อนมีคำตัดสินในวันที่ 17 พ.ย. ให้ประหารชีวิต ชีค ฮาสินา ในความผิดฐาน "ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ" จากการอนุญาตให้มีการใช้กำลังกับผู้ประท้วงจนถึงแก่ชีวิต โดยเธอถูกแจ้ง 5 ข้อหาคือ

1. การกล่าวสุนทรพจน์ยุยงปลุกปั่น

2. สั่งให้มีการใช้อาวุธหนักในการปราบปรามและกำจัดผู้ประท้วง

3. การยิงสังหารนายอาบู ซาเยด นักศึกษาจากภูมิภาครังปุระ ซึ่งเป็นชนวนเหตุสำคัญให้การชุมนุมยกระดับ 

4. การยิงสังหารผู้ประท้วงที่ไม่มีอาวุธ 6 คนในเมืองธากา

5. การเผาผู้ประท้วง 6 คนจนเสียชีวิตในเมืองอาซูเลีย

นางฮาสินา ถูกตัดสินว่ามีความผิดในทุกข้อกล่าวหา โดยถูกตัดสินโทษประหารชีวิตจากข้อหาที่ 4 ทั้งนี้เธอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และบอกว่าการดำเนินคดี “มีอคติและมีแรงจูงใจทางการเมือง”

นอกจากนางฮาสินาแล้ว รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นก็ถูกตัดสินประหารชีวิตในข้อหาเดียวกัน ขณะที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติถูกตัดสินจำคุก 5 ปี เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี

นางชีค ฮาสินา และนายนเรนทรา โมดี นายกฯ อินเดีย
นางชีค ฮาสินา และนายนเรนทรา โมดี นายกฯ อินเดีย

...

อินเดียอาจไม่ส่งตัว “ฮาสินา”

สำนักข่าวอินเดียนเอ็กซ์เพรส รายงาน ตอนนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นกับนางฮาสินา เนื่องจากเธอลี้ภัยอยู่ในประเทศอินเดียและจะยังคงปลอดภัยจนกว่ารัฐบาลอินเดียจะยอมรับคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนของบังกลาเทศ ซึ่งไม่น่าเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ หรืออาจ “ไม่เกิดขึ้นเลย”

ทั้งนี้ นางฮาสินาเป็นพันธมิตรที่ดีกับอินเดียมายาวนาน ในวาระดำรงตำแหน่งของเธอ ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและบังกลาเทศเป็นไปอย่างดีเยี่ยมทั้งด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเธอมีจุดยืนที่สอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงของอินเดีย โดยเดินหน้าปราบปรามกลุ่มติดอาวุธอินเดียที่กบดานอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของบังกลาเทศ และยุติข้อพิพาทชายแดนกับอินเดียหลายประเด็น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศแน่นแฟ้นมาอย่างต่อเนื่อง

กระทรวงต่างประเทศอินเดีย ระบุในแถลงการณ์ว่า อินเดีย “รับทราบถึงคำตัดสิน” และจะมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์กับทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมระบุด้วยว่า “จะมุ่งมั่นเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ชาวบังกลาเทศ ซึ่งรวมถึงสันติภาพ ประชาธิปไตย การมีส่วนร่วมและเสถียรภาพของประเทศ” แต่ไม่ได้กล่าวถึงการส่งตัวผู้ต้องหาข้ามแดนแต่อย่างใด

ศาสตราจารย์ซันเจย์ ภารัชวาช อาจารย์ด้านเอเชียใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยชวาหระลาล เนห์รู ในกรุงนิวเดลี ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอัลจาซีราว่า ทางการอินเดียมองว่ากรณีของนางฮาสินาอาจเป็นการแก้แค้นทางการเมือง และมองว่าบังกลาเทศในขณะนี้ ปกครองด้วย “กลุ่มต่อต้านอินเดีย” โดยนายยูนุส ผู้นำรัฐบาลรักษาการ เคยวิจารณ์อินเดียบ่อยครั้ง และผู้นำการประท้วงขับไล่นางฮาสินา มักตำหนิรัฐบาลอินเดียว่าให้การสนับสนุนเธอ

...

ทั้งนี้ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและบังกลาเทศที่เคยแน่นแฟ้นในสมัยรัฐบาลนางฮาสินา ปัจจุบันค่อนข้างตึงเครียด โดยอินเดียและบังกลาเทศมีพื้นฐานวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน และมีพรมแดนติดกันกว่า 4 พันกิโลเมตร ในปี พ.ศ.2514 ที่พ่อของนางฮาสินานำปากีสถานตะวันออกประกาศเอกราชเป็นบังกลาเทศ ได้รับการช่วยเหลือจากอินเดีย ขณะเดียวกันอินเดียก็ได้ประโยชน์ทางยุทธศาสตร์และความมั่นคงจากการแยกตัวของบังกลาเทศด้วย 

ที่มา :  indianexpress, aljazeerabbc