รู้จัก "Favela" สลัมในบราซิล จากปัญหาความยากจน สู่การถูกแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ ใช้เป็นแหล่งกบดาน ล่าสุดตำรวจบุกทลายดับทะลุ 132 ศพ ท่ามกลางคำถามใช้กำลังเกินกว่าเหตุ? 

เกิดเหตุการณ์นองเลือดที่ประเทศบราซิล ตำรวจเปิดปฏิบัติการจับกุมแก๊งค้ายาเสพติดครั้งใหญ่ ที่ย่านชุมชนแออัดในนครรีโอ เด จาเนโร เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา มีการยิงปะทะกันอย่างดุเดือด ล่าสุดมีรายงานผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 132 ราย ถูกจับกุม 81 ราย นับเป็นครั้งที่รุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมือง 

บรรยากาศเหมือน “สงคราม”

การปฏิบัติการบุกจับกุมแก๊งค้ายา องค์กรอาชญากรรมเกิดขึ้นเป็นประจำในประเทศบราซิล สำหรับปฏิบัติการครั้งนี้มีเป้าหมายในการจับกุมผู้นำและสกัดการแผ่อิทธิพลของแก๊งอาชญากรรม Comando Vermelho (CV) ที่รุกคืบครองพื้นที่ย่านสลัม (Favela) ในเขตอาเลเมา และ เปญญา ทางตอนเหนือของนครรีโอเดจาเนโรในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

การบุกกวาดล้างครั้งนี้ ระดมกำลังตำรวจและทหารกว่า 2,500 นาย มีการใช้เฮลิคอปเตอร์ ยานเกราะ และการบุกตรวจค้น ก่อนเกิดการยิงปะทะกันอย่างดุเดือด แก๊งค้ายาเผารถบัสเพื่อสร้างสิ่งกีดขวาง ชาวบ้านผู้เห็นเหตุการณ์ต่างบอกว่าบรรยากาศ  “เหมือนสงคราม”

...

นายเคลาดิโอ คาสโตร ผู้ว่าการรัฐรีโอ เด จาเนโร เปิดเผยว่า ปฏิบัติการนี้มีการวางแผนมานานร่วม 2 เดือน และเป็นการเผชิญหน้ากับองค์กรอาชญากรรมที่เป็นระบบ  โดยแก๊งอาชญากรรมได้ใช้โดรนทิ้งระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ที่กำลังกระจายกำลังเข้าตรวจค้นด้วย 

“สิ่งแก๊งอาชญากรรรมปฏิบัติต่อตำรวจรีโอ คือการใช้โดรนบินทิ้งระเบิดใส่ นี่คือความท้าทายที่เราต้องเผชิญ นี่ไม่ใช่อาชญากรรมธรรมดาแต่เป็นการก่อการร้ายด้านยาเสพติด”

ล่าสุด 30 ต.ค.มีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 132 ราย ในจำนวนนั้นเป็นตำรวจอย่างน้อย 4 ราย และผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสมาชิกแก๊งอย่างน้อย 115 ราย

ราฟาเอล โซอาเรส ผู้สื่อข่าวอาชญากรรมในบราซิล เปิดเผยกับ บีบีซี ว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นความพยายามในการสร้างผลงานส่งท้ายของผู้ว่าการฯ คาสโตร ที่จะหมดวาระและมีการเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า ซึ่งปฏิบัติการของตำรวจที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 ราย เกิดขึ้นไม่บ่อยในบราซิล และส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นเกิดในนครรีโอฯ

แก๊ง Comando Vermelho คือใคร?

แก๊ง Comando Vermelho (CV) หรือ เรดคอมมานด์ (Red Command) เป็นแก๊งอาชญากรรมที่เก่าแก่ที่สุดและมีขนาดใหญ่อันดับต้นๆ ของบราซิล มีจุดกำเนิดเรือนจำของรีโอ เด จาเนโร ในช่วงปี ค.ศ.1970 เพื่อเป็นกลุ่มป้องกันตนเองของเหล่านักโทษ ก่อนจะเริ่มก่ออาชญากรรม เช่น การจี้ชิงทรัพย์ ปล้นธนาคาร และเริ่มเข้ามาดำเนินธุรกิจค้าโคเคนตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 ปัจจุบันได้เติบโตกลายเป็นองค์กรค้ายาข้ามชาติขนาดใหญ่ ในปี 2020 มีรายงานว่ามีสมาชิกมากกว่า 3 หมื่นคน 

Comando Vermelho ควบคุมพื้นที่สลัมยากจนหลายแห่งในนครรีโอฯ โดยรุกคืบแผ่อิทธิพลอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พยายามยึดคืนพื้นที่คืนจากแก๊งคู่แข่งคือ แก๊งเฟิร์สแคปิตอลคอมมานด์ (First Capital Command - PCC) 

สำนักข่าวบีบีซี รายงานจากการพูดคุยกับผู้นำชนเผ่าพื้นเมืองในเปรู พบว่าแก๊ง CV ได้มีการดำเนินการอยู่ใน “อูกายาลี” แคว้นป่าแอมะซอนของเปรูด้วย

รายงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาของ Amazon Underworld เครือข่ายสื่อสืบสวนด้านอาชญากรรมข้ามชาติในประเทศภูมิภาคป่าแอมะซอน เปิดเผยว่า กลุ่มนี้ได้ขยายอิทธิพลเข้าไปปลูกต้นโคคา (Coca) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของโคเคน ในพื้นที่ป่าแอมะซอนทั้งในประเทศเปรูและบราซิล

...

“สลัมบราซิล” ปัญหาความยากจน สู่แหล่งกบดานแก๊งอาชญากรรม

การกวาดล้างครั้งนี้เกิดขึ้นในย่านสลัมในเขตอาเลเมา และเปญญา ซึ่งเป็นพื้นที่เชิงเขาที่อยู่กันอย่างแออัด ในเขตดังกล่าวมีจำนวนประชากร(รวมย่านสลัม) อยู่กว่า 2.8 แสนคน

ทั้งนี้ ย่านสลัม หรือ Favela มีอยู่กว่า 12,348 แห่งในเขตเทศบาล 656 เขตทั่วประเทศบราซิล ข้อมูลปี 2022 รายงานว่าประชากรบราซิล มากกว่า 8.1% หรือกว่า 16.39 ล้านคนอาศัยอยู่ในสลัม มากที่สุดคือเมืองเซาเปาโล ที่ 3.6 ล้านคน ตามมาด้วยรีโอเดจาเนโร ที่ 2.1 ล้านคน และปารา ที่ 1.3 ล้านคน 

สลัมเหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย มักตั้งอยู่ในเขตรอบนอกของเมืองใหญ่ สร้างบนพื้นที่ที่ไม่มั่นคงเช่น เนินเขา หรือพื้นที่ลาดชัน เปราะบางต่อภัยธรรมชาติมากกว่าพื้นที่อื่น ทั้งไฟป่า ดินถล่ม ซ้ำยังขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบถนน น้ำประปา ไฟฟ้า หลายพื้นที่เข้าไม่ถึงระบบสุขาภิบาลและการจัดการน้ำเสีย

ปัญหาความยากจน นำมาสู่ปัญหาอื่นๆ ทั้งความไม่มั่นคงในอาหาร ความรุนแรง การก่ออาชญากรรมในพื้นที่ และการเข้ามาขององค์กรอาชญากรรม แก๊งค้ายาต่างๆ

ใน Favela มีอัตราการตายและการฆาตกรรมสูงกว่าพื้นที่อื่นของเมือง เนื่องจากมักมีการปะทะกันของแก๊งอาชญากรรมต่างๆ ผลการศึกษาในปี 2020 พบว่า 44% ของประชากรใน Favela เคยอยู่ในเหตุการณ์ยิงปะทะกัน และกว่า 62% รู้สึกหวาดกลัวว่าจะถูกยิง

ขณะที่รายงานจากรัฐบาลสหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า ในปี 2024 บราซิลมีจำนวนองค์กรอาชญากรรม (Organised Crime Gangs-OCGs) มากกว่า 80 กลุ่มด้วยกัน ใหญ่ที่สุดคือกลุ่ม PCC ที่มีฐานในเซาเปาโล และกลุ่ม CV ในรีโอเดจาเนโร ซึ่งก็คือกลุ่มที่ถูกจับกุมในครั้งนี้

...

ขณะที่ผลการสำรวจของ Datafolha สถาบันวิจัยความคิดเห็นสาธารณะและสถิติของบราซิล ระบุว่า ปัจจุบันแก๊งอาชญากรรมและกองกำลังติดอาวุธ ควบคุมในพื้นที่อยู่อาศัยของประชากรรวม 28.5 ล้านคน หรือ 19% ของประชากร

วิสามัญโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม?

จากปฏิบัติการครั้งนี้ ชาวบ้านได้นำร่างผู้เสียชีวิต 50-70 ศพมาวางเรียงกันกลางจัตุรัสในเขตเปญญาเมื่อเช้ามืดวันที่ 29 ต.ค.เพื่อแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของปฏิบัติการ

ญาติของผู้เสียชีวิตหลายรายเรียกร้องความยุติธรรม เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “การสังหารหมู่” ระบุว่าเจ้าหน้าที่ยิงจากด้านหลัง หลายศพมีร่องรอยถูกเผา รวมถึงเสียชีวิตทั้งที่ถูกมัดอยู่ พร้อมกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ทำการวิสามัญอย่างรวบรัด (summary killings) โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมก่อน

“รัฐบุกเข้ามาสังหารหมู่ นี่ไม่ใช่ปฏิบัติการทางตำรวจ แต่พวกเขาตั้งใจเข้ามาฆ่า เข้ามาเอาชีวิตคน” หญิงชาวบ้านรายหนึ่ง กล่าวกับ AFP

ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเปิดเผยว่า ประธานาธิบดี ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา "ตกตะลึง" กับจำนวนผู้เสียชีวิต และรู้สึกประหลาดใจที่รัฐบาลกลางไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าเกี่ยวกับปฏิบัติการนี้

...

ด้านสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Human Rights office) ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อปฏิบัติการของตำรวจ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากขนาดนี้ พร้อมเรียกร้องให้มีการสืบสวน

มาร์ธา เฮอทาโด โฆษก UN Human Rights ระบุว่าเข้าใจความท้าทายในการจัดการความรุนแรงและองค์การอาชญากรรมที่เป็นระบบอย่างกลุ่ม CV แต่ว่าบราซิลต้องยุติวงจรของความรุนแรงและทำให้แน่ใจว่าการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามมาตรฐานสากลว่าด้วยการใช้กำลัง พร้อมเสริมว่า หน่วยงานของสหประชาชาติ เรียกร้องให้มีการปฏิรูปตำรวจอย่างเต็มรูปแบบ 

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจบราซิล มักถูกตั้งคำถามถึงการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ โดย Human Rights Watch เปิดเผยว่าในแต่ละปีผู้ถูกวิสามัญฆาตกรรมโดยตำรวจกว่า 6 พันราย โดยคนที่มีสัญชาติแอฟริกันถูกวิสามัญมากกว่าคนผิวขาวถึง 3 เท่า 

อย่างไรก็ดี นายคาสโตร ผู้ว่าการรัฐฯ ยืนยันว่าปฏิบัติการสัมฤทธิ์ผล และคนที่เป็นเหยื่อมีเพียงตำรวจที่เสียชีวิตเท่านั้น เมื่อนักข่าวสอบถามถึงคำพูดก่อนหน้าของเขาว่า ผู้เสียชีวิตเป็น "อาชญากร" ผู้ว่าการฯ คาสโตรตอบว่า "พูดตามตรง การปะทะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ชุมชน แต่เกิดขึ้นในป่า ดังนั้นผมไม่เชื่อว่าจะมีใครเดินเล่นในป่าในวันที่มีความขัดแย้ง และนั่นคือเหตุผลที่เราสามารถจำแนกพวกเขาได้โดยง่าย"

มาร์เซโล เด เมเนเซส เลขานุการกองกำลังตำรวจทหาร กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ปกป้องประชาชน โดยผลักดัน “อาชญากร” เข้าไปในป่าที่ติดกับชุมชน ซึ่งเป็นสถานที่ที่การสู้รบส่วนใหญ่เกิดขึ้น

ขณะที่เฟลิเป คูรี เลขานุการของสำนักงานตำรวจ ระบุว่า ศพที่เห็นอยู่ตามท้องถนนที่อยู่ในสภาพสวมเพียงชุดชั้นใน เป็นเพราะชาวบ้านได้ถอด “เสื้อพรางตัว เสื้อเกราะ และอาวุธ” ออกจากร่างของผู้เสียชีวิตเหล่านั้นแล้ว 

ล่าสุด อเล็กซายเดรีย มอไรส์  ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของบราซิล ได้ออกคำสั่งให้ผู้ว่าการฯ คาสโตร มอบข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการของตำรวจ และนัดหมายให้มีการประชุมร่วมกับผู้บัญชาการตำรวจทหารและตำรวจพลเรือน ในวันที่ 3 พ.ย. ด้านสำนักงานอัยการกลาง (Federal Public Prosecutor’s Office) ได้ร้องขอให้ สถาบันนิติเวช ตรวจสอบให้แน่ใจว่ารายงานการชันสูตรศพ จะต้องมีคำอธิบายอย่างละเอียด มีภาพถ่ายและภาพเอกซเรย์ของบาดแผล 

อ้างอิง : bbc, independent, rte, hrw, insightcrime, agenciabrasil, gov.uk, apnews