จับตาแมตช์หยุดโลก 2 ผู้นำมหาอำนาจ "ประธานาธิบดีทรัมป์" แห่งสหรัฐฯ พบ "ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง" ผู้นำจีน ในการหารือนอกรอบเอเปค 30 ต.ค. คาดคุยประเด็นอะไรบ้าง?
การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 จัดขึ้นที่เมืองคยองจู ประเทศเกาหลีใต้ ในวันที่ 30 ต.ค. - 1 พ.ย. 2025 สิ่งที่ถูกจับตามากที่สุดคือการประชุมนอกรอบของผู้นำ 2 ชาติมหาอำนาจโลก ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งประเทศจีน ในวันที่ 30 ต.ค.
การพบกันระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิงในครั้งนี้ จะเป็นการพบกันตัวต่อตัวครั้งแรกนับตั้งแต่การประชุม G20 ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2019 อย่างไรก็ดีผู้นำทั้งสองเคยพูดคุยทางโทรศัพท์อย่างน้อย 3 ครั้งในปีนี้ ซึ่งรวมถึงการหารือเกี่ยวกับดีลการดำเนินงานของ TikTok ในสหรัฐฯ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ท่ามกลางสงครามการค้าที่ตึงเครียด ล่าสุดกับการที่จีนออกมาตรการเข้มงวดการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธ ทำให้สหรัฐฯ ออกมาตอบโต้โดยการเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือและขู่จำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ไปจีน โดย ปธน.ทรัมป์ยังได้ออกมาขู่จะเก็บภาษีจีน 100% อีกด้วย
...
ทรัมป์ และ สี จะคุยอะไรกันบ้าง?
1. ลดความตึงเครียดสงครามการค้าและกำแพงภาษี
สก็อตต์ เบสเซนต์ รมว.คลังสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์เมื่อ 26 ต.ค. หลังจากที่เขาและเจมิสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้หารือกับรองนายกฯ และผู้เจรจาการค้าของจีน โดยคาดหวังว่า ฝ่ายจีนจะตกลงซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เพิ่ม และเพิ่มความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการยับยั้งปัญหาการไหลเข้าของสารเคมีตั้งต้นผลิตเฟนทานิล และลงนามข้อตกลงขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการซื้อกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ
ขณะที่นายกรีเออร์ ให้สัมภาษณ์กับรายการ Fox News Sunday ว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะระงับมาตรการลงโทษบางประการไว้ชั่วคราว และค้นพบ “แนวทางในการเดินหน้าร่วมกัน ซึ่งเราจะสามารถเข้าถึงทรัพยากรแร่หายากจากจีนได้มากขึ้น และพยายามปรับสมดุลการขาดดุลทางการค้าด้วยการขายสินค้าจากสหรัฐฯ”
ขณะที่ล่าสุด 29 ต.ค.ประธานาธิบดี ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน ถึงประเด็นหารือกับจีนว่ามีเรื่อง “เกษตรกร” และ เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการส่งออกชิป “Blackwell” ของบริษัท Nvidia ไปยังจีน ทรัมป์ตอบว่า “ผมคิดว่าเราอาจจะพูดถึงเรื่องนี้กับประธานาธิบดีสี”
ทั้งนี้การค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ลดลงอย่างมากนับตั้งแต่ทรัมป์กลับเข้ามาดำรงตำแหน่ง ปัจจุบันสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าจีนเฉลี่ย 55% ขณะที่จีนเก็บสินค้าสหรัฐฯ เฉลี่ย 32% โดยสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำบริษัทจีนหลายร้อยแห่งระบุว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง ห้ามการส่งออกชิปขั้นสูงและอุปกรณ์การผลิตที่สำคัญเกี่ยวกับ AI
ขณะที่จีนตอบโต้โดยการจัดให้บริษัทสหรัฐฯ หลายสิบแห่ง เป็น “องค์กรที่ไม่น่าเชื่อถือ” และเปิดการสอบสวนต้านการผูกขาดกับ Nvidia และ Qualcomm และจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายากและธาตุโลหะมากกว่าสิบชนิด ซึ่งรวมถึงแกลเลียมและดิสโพรเซียม และไม่มีการซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนกันยายน โดยหันไปซื้อจากบราซิลและอาร์เจนตินาแทน
2. แรร์เอิร์ธ
สก็อตต์ เบสเซนต์ รมว.คลังสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ด้วยว่า เขาเชื่อว่าจีนจะเลื่อนการใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแรร์เอิร์ธ และสหรัฐฯ จะไม่บังคับใช้ภาษี 100% กับจีน โดยบอกว่าการพูดคุยกับจีนมีความคืบหน้า และจะมีกรอบความร่วมมือ (framework)ให้ผู้นำทั้ง 2 ชาติได้หารือกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ทรัมป์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามถึงการที่จีนอาจเลื่อนการบังคับใช้มาตรการจำกัดการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธออกไปเป็นเวลา 1 ปี จะทำให้สหรัฐฯ ยอมอ่อนข้อหรือไม่ ว่า “เรายังไม่ได้คุยกันถึงเรื่องช่วงเวลา แต่เราจะหาทางตกลงกันได้แน่นอน”
ทั้งนี้ จีนควบคุมมากกว่า 90% ของห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธ ซึ่งจำเป็นในการผลิตอุตสาหกรรมไฮเทค ตั้งแต่ยานยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงเซมิคอนดักเตอร์และขีปนาวุธ
...
3.ยาเฟนทานิล
สหรัฐฯ กำลังเจอปัญหาพลเมืองเสพติดยาระงับอาการปวด “เฟนทานิล”(fentanyl) โดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ประกาศเก็บภาษีสินค้าจีน 20% ให้เหตุผลว่า จีนล้มเหลวในการยับยั้งการส่งออกสารเคมีตั้งต้นในการผลิตเฟนทานิลแก่กลุ่มอาชญากร ทำให้ชาวอเมริกันเสพติดและเสียชีวิตจากการเสพยาเกินขนาดกว่า 4.5 แสนคน
แต่ล่าสุด ประธานาธิบดี ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน ว่าสหรัฐฯ อาจลดภาษีให้กับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิล หลังจากจีนมีความพยายามในการยับยั้งการส่งออกสารตั้งต้น
คำสัมภาษณ์ครั้งนี้ สอดคล้องกับรายงานของ Wall Street Journal เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ระบุว่า สหรัฐฯ จะลดภาษีที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลให้จีน จาก 20% เหลือ 10% ซึ่งหากมีการปรับลดจะทำให้อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสินค้าจีนลดลงจาก 55% เป็น 45%
4. ไต้หวัน
จีน ยึดหลักการจีนเดียว ยืนยันว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ แม้ว่าจีนจะไม่เคยเข้าไปควบคุมพื้นที่หรือบริหาร โดยนักวิเคราะห์ มองว่า จีนต้องการให้สหรัฐฯ เปลี่ยนจุดยืน จาก “ไม่สนับสนุน” (not supporting) เป็น “คัดค้าน” (opposing) อิสรภาพของไต้หวัน
...
ทั้งนี้แม้ว่าที่ผ่านมารัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ จะมีท่าทีแข็งกร้าวในการสนับสนุนไต้หวัน แต่ในช่วงที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ ได้มีการระงับการส่งมอบอาวุธมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ให้กับไต้หวัน ขณะที่ทางจีนยังมีท่าทีแข็งกร้าวและกดดันไต้หวันอย่างต่อเนื่อง
5.รัสเซีย
จีน ถือเป็นพันธมิตรที่สำคัญของรัสเซีย โดยวางจุดยืนที่สมดุลและระมัดระวัง ไม่ได้ประณามรัสเซียในการก่อสงครามยูเครนและงดออกเสียงในที่ประชุมสหประชาชาติ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้รับรองอำนาจอธิปไตยของรัสเซียเหนือดินแดนที่เข้ายึด ซึ่งจีนก็ได้ประโยชน์ทางการค้าจากการที่รัสเซียถูกคว่ำบาตร โดยเป็นหนึ่งในผู้รับซื้อน้ำมันรายใหญ่ และส่งออกสินค้าไปขาย
ขณะที่ ทรัมป์ วางบทบาทตนเองเป็นผู้ยุติสงครามในยูเครน คาดว่า เขาหวังให้ สี จิ้นผิง ที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับรัสเซียช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองเพื่อยุติสงคราม โดยเคยขู่บ่อยครั้งว่า อาจเก็บภาษีสินค้ากับประเทศที่ซื้อขายน้ำมันรัสเซีย เช่น จีน
...
จับตาผลลัพธ์เจรจา ชี้ทิศทางโลก
บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างออกมาคาดการณ์ถึงผลลัพธ์การหารือครั้งนี้ นีโอ หวัง นักกลยุทธ์จีนจากบริษัท Evercore ISI ให้สัมภาษณ์กับ CNBC วิเคราะห์ว่า ผลลัพธ์ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นจากการพบกันระหว่าง ผู้นำทั้งสอง ได้แก่ รัฐบาลปักกิ่งยอมรับประกันว่าสหรัฐฯ จะสามารถเข้าถึงแร่หายากได้ภายใต้มาตรการควบคุมการส่งออกของจีน, การสั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้ง, การอนุมัติการขายกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ และเพิ่มมาตรการสกัดกั้นการลักลอบขนส่งยาเฟนทานิล
ในทางกลับกัน รัฐบาลวอชิงตันอาจเสนอผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์และชิป AI บางประเภท, ยกเลิกการขู่เรียกเก็บภาษี 100% รวมถึงลดภาษีที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลลงอีก 10% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพักรบทางภาษีรอบใหม่
ขณะที่ศาสตราจารย์บัน กิลจู จากสถาบันการทูตแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพี ว่าการพบกันครั้งนี้อาจลดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศได้ เพราะทั้งคู่คงไม่มาพบกันหากไม่มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงบางอย่างได้
ฉาน เกา หุ้นส่วน Hutong Research ในเซี่ยงไฮ้ ให้สัมภาษณ์กับอัลจาซีรา คาดหวังว่าส่วนใหญ่ของข้อตกลงระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิง จะมุ่งเน้นไปที่การหลีกเลี่ยงการยกระดับความตึงเครียด และเนื่องจากสหรัฐฯ ไม่มีตัวเลือกอื่นมาทดแทนแร่แรร์เอิร์ธของจีนได้ในเร็วๆ นี้ ทั้ง 2 รัฐบาลอาจสงบศึกการค้าได้นานกว่าในอดีต
ศาสตราจารย์ เดนนิส ไวล์เดอร์ จากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ผู้เคยทำงานด้านประเทศจีนที่สำนักข่าวกรองสหรัฐ (CIA) และสภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว กล่าวว่า แม้เขาจะมองในแง่ดีว่าการประชุมสุดยอดครั้งนี้จะให้ “ผลลัพธ์เชิงยุทธวิธีในทางบวก” แต่นี่จะไม่ใช่จุดสิ้นสุดของสงครามการค้า และข้อตกลงทางการค้าโดยสมบูรณ์ยังไม่เกิดขึ้น
มองว่า นายเบสเซนต์ รมว.คลังสหรัฐฯ และคู่เจรจาจากทางการจีนจะยังคงเดินหน้าพูดคุยต่อไป โดยหวังว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงที่ยั่งยืนกว่านี้ได้หากประธานาธิบดีทรัมป์เดินทางเยือนจีนในปีหน้า
ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญบางคนไม่คาดหวังว่าการพูดคุยครั้งนี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงมากนัก หวัง เหวิน คณบดีสถาบันวิจัยการเงินฉงหยาง แห่งมหาวิทยาลัยเหรินหมิน ในกรุงปักกิ่ง มองว่า ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังไม่ถูกแก้ไข และคาดการณ์ว่าในอนาคตจะยังคงมีความตึงเครียดต่อเนื่องและอาจ “เลวร้ายขึ้นกว่าเดิม” โดยจีนจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ และอาจเหนือกว่าสหรัฐฯ ในอนาคต
อ้างอิง : aljazeera, edition.cnn, theguardian, theconversation, cnbc, politico