วิเคราะห์ "ทรัมป์" มีโอกาสแค่ไหนในการคว้ารางวัลโนเบล หลังวางตัวเป็น "ผู้สร้างสันติภาพ" เคลมยุติ 7 สงครามทั่วโลก และล่าสุดขอเป็นประธานลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา
สื่อต่างประเทศรายงาน “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน 26-28 ต.ค.นี้ โดยมีเงื่อนไขเป็นประธานการลงนามข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชา เพื่อตอกย้ำการเป็น “ผู้สร้างสันติภาพ” เพิ่มโอกาสคว้าโนเบลสันติภาพ
สำนักข่าวเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ (scmp) รายงานอ้างอิงแหล่งข่าวในรัฐบาลและนักการทูตว่า ทรัมป์ต้องการให้จัดพิธีพิเศษนอกรอบเพื่อตอกย้ำว่าเขาเป็นผู้ริเริ่มกระบวนการสันติภาพ หลังเคยโทรศัพท์เจรจาไทย-กัมพูชาเมื่อช่วงเริ่มต้นเหตุพิพาทรอบใหม่
ขณะที่สำนักข่าวโพลิติโก (Politico) รายงานถึงการตั้งเงื่อนไขนี้ของทรัมป์เช่นกัน ระบุด้วยว่ายังขอให้ตัดเจ้าหน้าที่จีนออกจากการประชุมด้วย
...
หวังคว้าโนเบลสันติภาพ
ผู้นำสหรัฐฯ แสดงออกอย่างชัดเจน ว่าต้องการคว้ารางวัล "โนเบลสันติภาพ” หนึ่งในสาขาของรางวัลโนเบล (Nobel Prize) ที่มอบให้กับบุคคลที่มีผลงานโดดเด่นในการสร้างสันติภาพ ซึ่งในอดีตมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้รางวัลที่ 4 คน คนล่าสุดคือประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในปี 2009
ทรัมป์ ยืนยันว่าเขา “คู่ควร” กับรางวัลนี้ และอ้างว่าเขาหยุดสงครามไปแล้ว 7 สงครามทั่วโลก นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งสมัยแรกในปี 2017 และหากการเจรจาสันติภาพระหว่างอิสราเอล-ฮามาสที่กำลังดำเนินอยู่สำเร็จ จะกลายเป็นสงครามที่ 8 ที่เขายุติ
ทรัมป์ กล่าวในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อเดือนกันยายนว่า ไม่เคยมีประธานาธิบดีคนไหน ทำได้ใกล้เคียงกับที่เขาทำ
"ทุกคนบอกว่าผมควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพสำหรับความสำเร็จแต่ละอย่างเหล่านี้"
หยุดสงครามทั่วโลก
ทรัมป์ อ้างว่าเขาสามารถยุติ 7 สงครามทั่วโลก ซึ่งรวมถึงความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วย
1. อิสราเอล - อิหร่าน
การปะทะเกิดขึ้นหลังอิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อ้างเพื่อทำลายโครงการนิวเคลียร์ที่เป็นภัยต่ออิสราเอล ซึ่งในตอนแรกทรัมป์แสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับการโจมตีโดยตรง แต่ต่อมากองทัพสหรัฐฯ ก็เข้าร่วมในการยิงทำลายโครงการนิวเคลียร์อิหร่านด้วย สงครามกินเวลา 12 วันก่อน ทรัมป์ จะออกมาประกาศการหยุดยิงระหว่าง 2 ประเทศ อย่างไรก็ดี ยังไม่ชัดเจนว่าทรัมป์มีส่วนยุติความขัดแย้งครั้งนี้อย่างไรบ้าง และไม่มีข้อตกลงสันติภาพหรือข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับอาวุธนิวเคลียร์ในอนาคต
2. อินเดีย - ปากีสถาน
ความขัดแย้งเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม จากกรณีที่นักท่องเที่ยวถูกกลุ่มก่อการร้ายสังหารหมู่ 26 คนที่แคชเมียร์ ทางชายแดนตอนเหนือของอินเดียติดกับปากีสถาน ซึ่งมีข้อพิพาทที่ดินทับซ้อนมานาน โดยอินเดียยิงขีปนาวุธตอบโต้อ้างว่าปากีสถานเกี่ยวข้อง
ความขัดแย้งคุกกรุ่นอยู่ 4 วัน ก่อนที่ทรัมป์ จะออกมาโพสต์ประกาศว่า อินเดียและปากีสถาน “หยุดยิงอย่างสมบูรณ์และโดยทันที” โดยมีสหรัฐฯ เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย ซึ่งรัฐบาลปากีสถานออกมาชื่นชมสหรัฐฯ ในการยื่นมือเข้ามาเป็นตัวกลางและเสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงรางวัลโนเบล ขณะที่อินเดีย ระบุว่าการเจรจาเป็นการดำเนินการโดยตรงระหว่างอินเดียและปากีสถาน และยืนยันคัดค้านการยุ่งเกี่ยวของต่างชาติในพื้นที่พิพาทแคชเมียร์
3. รวันดา - ดีอาร์คองโก
ความขัดแย้งยาวนาน 3 ทศวรรษของสองประเทศนับตั้งแต่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดา ได้ปะทุขึ้นอีกครั้งหลังกลุ่มกบฏ M23 เข้ายึดพื้นที่ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรแร่ทางตะวันออกของดีอาร์คองโกตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา และสังหารประชาชน 140 คน ซึ่งดีอาร์คองโกกล่าวหาว่ารวันดาสนับสนุนกลุ่มกบฏนี้
...
ต่อมาในเดือนมิถุนายนทั้งสองประเทศได้ลงนามข้อตกลงสันติภาพที่กรุงวอชิงตัน เพื่อหวังยุติความขัดแย้ง โดยทรัมป์ ระบุว่า ข้อตกลงนี้จะช่วยเพิ่มการค้าระหว่างสองประเทศและสหรัฐฯ โดยในเนื้อหาของข้อตกลงยังเรียกร้องให้ “เคารพข้อตกลงหยุดยิง” ระหว่างสองประเทศเมื่อ 2024 ซึ่งต่างกล่าวหากันว่าอีกฝ่ายฝ่าฝืน
4. อาร์เมเนีย - อาร์เซอร์ไบจาน
ทรัมป์ จัดพิธีลงนามระหว่างผู้นำทั้ง 2 ประเทศที่ทำเนียบขาวเมื่อ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา หลังได้บรรลุข้อตกลงสันติภาพ เพื่อยุติข้อพิพาทเกือบ 40 ปี เหนือดินแดนในภูมิภาคนากอร์โน-คาราบัคห์ ซึ่งอยู่ในพรมแดนอาเซอร์ไบจานแต่ประชากรส่วนใหญ่มีเชื้อสายอาร์เมเนีย โดยผู้นำทั้ง 2 ประเทศชื่นชมว่าทรัมป์ควรได้โนเบลสันติภาพจากความพยายามในการผลักดันข้อตกลงนี้
5. อียิปต์ - เอธิโอเปีย
...
ทั้งสองประเทศไม่เชิงมี “สงคราม” ให้ทรัมป์ยุติ แต่มีความตึงเครียดที่ยืดเยื้อจากประเด็นเขื่อนในแม่น้ำไนล์ โดยเขื่อนแกรนด์เอธิโอเปียนเรอเนซองส์ ที่ก่อสร้างมานาน 15 ปีได้แล้วเสร็จในปีนี้ ซึ่งอียิปต์แสดงความกังวลมาตลอดว่าอาจกระทบกับแม่น้ำไนล์ที่ไหลผ่านประเทศ
ทรัมป์ กล่าวว่า “หากผมเป็นอียิปต์ ก็คงอยากได้น้ำในแม่น้ำไนล์เหมือนกัน” และสัญญาว่าจะแก้ปัญหานี้โดยเร็ว ซึ่งอียิปต์ตอบรับคำกล่าวนี้ของทรัมป์ แต่ทางเอธิโอเปียบอกว่าคำพูดของทรัมป์จะทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีการบรรลุข้อตกลงใดๆ ระหว่างสองประเทศในการแก้ไขข้อขัดแย้งนี้
6. เซอร์เบีย - โคโซโว
เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ทรัมป์อ้างว่าเขาได้ป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงระหว่าง 2 ประเทศ โดยบอกว่า “เซอร์เบียและโคโซโวกำลังจะปะทะกัน และมันจะกลายเป็นสงครามครั้งใหญ่ ผมบอกว่าถ้าเกิดขึ้นก็จะไม่มีการค้าสหรัฐฯ พวกเขาเลยบอกว่า งั้นบางทีพวกเราไม่ทำสงครามก็ได้”
ทั้ง 2 ประเทศขัดแย้งกันมายาวนาน โคโซโวเรียกร้องเอกราชจากเซอร์เบียและถูกปราบปราม ก่อนถูกนาโต้เข้ามาแทรกแซง และโคโซโวได้ประกาศเอกราชในปี 2008 ก่อนหน้านี้ทั้ง 2 ประเทศได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ปี 2020 ในสมัยรัฐบาลทรัมป์ 1 แต่เซอร์เบียยังคงมองว่าโคโซโวเป็นรัฐที่แยกตัวออกไปและไม่ยอมรับเอกราช ความตึงเครียดของสองชาติปะทุเป็นระยะ อย่างไรก็ดีทั้งสองประเทศยังไม่ได้เปิดฉากโจมตีกัน หลายคนจึงมองว่านี่ไม่ใช่สงครามที่ต้องยุติ
7. ไทย - กัมพูชา
ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยวันที่ 26 ก.ค. ทรัมป์ ระบุว่า ได้ต่อสายพูดคุยกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ และนายฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา เรียกร้องให้มีการหยุดยิง ไม่เช่นนั้นจะไม่เจรจาภาษีด้วย ซึ่งหลังจากนั้นไทยและกัมพูชา ก็ได้มีการตกลงหยุดยิงกันที่ประเทศมาเลเซีย โดยผู้นำกัมพูชา ยังเสนอชื่อทรัมป์ ชิงรางวัลโนเบลด้วย
...
อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ยังปะทุต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และมีข่าวทรัมป์ขอเป็นประธานลงนามข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชา ข้างต้น
โอกาสคว้ารางวัลปีนี้ยังริบหรี่
รางวัลโนเบล จะมีการมอบในวันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี และแม้ว่าทรัมป์จะเดินหน้าแคมเปญผู้สร้างสันติภาพ แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญมองว่าโอกาสที่เขาจะได้รับรางวัลยังคงน้อยมาก อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ปีนี้ บางคนยังมองการยุติสงครามของทรัมป์เป็นคำกล่าวอ้างที่เกินจริง
ธีโอ เซนู นักประวัติศาสตร์และนักวิจัยจากสถาบัน Henry Jackson Society สหราชอาณาจักร กล่าวกับสำนักข่าว ABC News ว่า เกณฑ์การตัดสินของคณะกรรมการมักให้ความสำคัญกับความพยายามให้การสร้างสันติภาพแบบพหุภาคีที่ยั่งยืน มากกว่าการทูตที่รวดเร็ว ซึ่งการยุติสงครามที่ทรัมป์อ้างยังไม่ถูกพิสูจน์ว่ามั่นคงในระยะยาว
เซนู ยังมองว่า การที่ทรัมป์มีท่าทีไม่แยแสต่อองค์กรระหว่างประเทศ และไม่สนใจปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ อาจทำให้เขาเสียเปรียบ
“ผมไม่คิดว่า พวกเขาจะมอบรางวัลที่ทรงเกียรติที่สุดในโลกให้กับคนที่ไม่เชื่อเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ”
“และหากคุณมองไปยังผู้ที่เคยได้รับรางวัลก่อนนี้ พวกเราเป็นผู้สร้างสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ ส่งเสริมความร่วมมือและความปรองดองระหว่างประเทศ ซึ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เรานึกถึงเมื่อกล่าวถึงโดนัลด์ ทรัมป์”
เช่นเดียวกับ นินา เกรเกอร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสันติภาพแห่งออสโล (PRIO) ที่มองว่าหลายนโยบายหรือการกระทำของทรัมป์ ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรางวัลที่อัลเฟรด โนเบลได้ระบุว่า โดยเฉพาะในเรื่องการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ภราดรภาพ การยกเลิกหรือลดกำลังทางทหาร
สำหรับเกรเกอร์ ลิสต์การกระทำของทรัมป์ที่ขัดกับเจตนารมณ์ของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพนั้น “ยาวมาก” ทั้งการนำสหรัฐฯ ออกจากความร่วมมือระหว่างประเทศ, การประกาศสงครามการค้า, ขู่จะใช้กำลังชิงกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก, ส่งกองกำลังพิทักษ์ชาติ (National Guard) เข้าไปยังเมืองต่างๆ ของสหรัฐฯ, โจมตีเสรีภาพทางวิชาการของมหาวิทยาลัยและคุกคามเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
นอกจากนี้การที่ทรัมป์ แสดงออกอย่างเปิดเผยว่าอยากได้รางวัลนี้ ยิ่งไม่ช่วยอะไรเลย เพราะคณะกรรมการไม่ต้องการถูกมองว่าพวกเขายอมจำนนต่อแรงกดดันทางการเมือง
อัสเล โตเย รองประธานคณะกรรมการโนเบลชุดปัจจุบันกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า โดยทั่วไปแล้ว การล็อบบี้รางวัลให้ตัวเองมักส่งผลในทางลบมากกว่าทางบวก โดยมีผู้สมัครบางคนที่ผลักดันตัวเองอย่างหนัก และกรรมการไม่ชอบแบบนั้น ทั้งนี้โตเยระบุว่าเขาพูดถึงการล็อบบี้ในภาพรวม ไม่ได้เจาะจงถึงผู้สมัครรายใดรายหนึ่ง
ขณะที่ ยอร์เกน วาท์เน ฟรืดเนส ประธานคณะกรรมการโนเบลชุด 5 คน ที่ทำหน้าที่มอบรางวัลสาขาสันติภาพกล่าวว่า กรรมการพิจารณาจากภาพรวมทั้งหมด
“ภาพรวมของบุคคลหรือองค์กรนั้นๆ มีความสำคัญ แต่สิ่งที่เราจะดูเป็นลำดับแรกและสำคัญที่สุด คือ พวกเขาได้สร้างผลงานที่เป็นรูปธรรมเพื่อสันติภาพจริงหรือไม่”
ปีหน้าอาจสำเร็จ
ผู้เชี่ยวชาญบางคน มองว่าในปีหน้าทรัมป์อาจมีโอกาสมากกว่าปีนี้ หลังหาย “ฝุ่นตลบ” ข้อกล่าวอ้างในการหยุดสงครามของเขาได้รับการพิสูจน์ว่าประสบความสำเร็จและยั่งยืน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความพยายามหยุดสงครามรัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-ฮามาส ประสบความสำเร็จ
เบรตต์ เอช. แมคเกอร์ก นักการทูตและนักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศ ระบุในคอลัมน์ของ CNN มองว่า สงครามในกาซาและยูเครนจะเป็นจุดสำคัญ หากถูกแก้ไขจะช่วยส่งเสริมการบูรณาการและการเชื่อมต่อกันมากขึ้นระหว่างยุโรปและตะวันออกกลาง และหากความทะเยอทะยานของรัสเซียและอิหร่านถูกยับยั้ง ก็จะส่งผลต่อเนื่องไปถึงข้อพิพาทระหว่างจีนและไต้หวันด้วย ซึ่งหากทรัมป์ มีบทบาทช่วยยุติ 2 สงครามนี้ได้ ก็สมควรได้รับเครดิต และอ้างสิทธิได้ว่าเขาคู่ควรได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพปี 2026
อ้างอิง : abc, bbc, edition.cnn, cnn, france24