รัฐบาลสหรัฐฯ ชัตดาวน์ แล้ววันนี้ 1 ต.ค.2025 งดกิจกรรมไม่จำเป็น - พักงานเจ้าหน้าที่ 7.5 แสนคน มีสาเหตุ-ส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง 

รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะ “ชัตดาวน์” (Government Shutdown) แล้วตั้งเวลาเที่ยงคืน ของวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น หลังสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงงบประมาณได้ก่อนเริ่มปีงบประมาณใหม่

รัฐบาลชัตดาวน์ คืออะไร?

ในประเทศสหรัฐฯ สภาคองเกรส จะจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานและภารกิจของรัฐบาลกลาง (Federal government) ในทุกปีงบประมาณซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 1 ต.ค. แต่หากสภาฯ ไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณประจำปี หรือไม่สามารถผ่านร่างขยายจัดสรรงบประมาณระยะสั้น หรือที่เรียกว่า CR (continuing resolution) ได้ก่อน 1 ต.ค.จะกระทบต่องบรัฐบาลกลางและทำให้หลายหน่วยงานที่ถูกจัดว่า “ไม่จำเป็น” ต้องปิดทำการชั่วคราว เจ้าหน้าที่ถูกพักงานโดยไม่ได้รับค่าแรง

ขณะที่เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานที่ “จำเป็น” เช่น ทหาร เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ จะยังทำงานต่อแต่จะยังไม่ได้รับค่าจ้างจนกว่าสภาฯ จะลงมติกันสำเร็จ

การชัตดาวน์ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี และเป็นการชัตดาวน์ครั้งที่ 16 ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 1980 ส่วนใหญ่กินเวลา 1-3 วัน นานที่สุดคือการชัตดาวน์ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2018-2019 ในสมัยรัฐบาลทรัมป์ กินเวลายาวนาน 34 วัน กระทบเจ้าหน้าที่รัฐ 8 แสนคนไม่ได้รับเงินเดือน สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ 3 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.1 แสนล้านบาท) หรือคิดเป็น 0.2% ของ GDP

...

สาเหตุ รัฐบาลชัตดาวน์ ครั้งนี้

การชัตดาวน์ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจาก วุฒิสภา (Senate) ไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายขยายจัดสรรงบประมาณระยะสั้น (CR) ซึ่งเป็นงบต่ออายุออกไปอีก 7 สัปดาห์ได้ โดยสภาสูงมีมติ 55 ต่อ 45 เสียง ไม่ถึงเกณฑ์ 60 เสียง 

ความขัดแย้งหลักอยู่ที่งบประมาณมูลค่า 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 63 ล้านล้านบาท) สำหรับการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 4 ของงบประมาณทั้งหมดราว 7 ล้านล้านดอลลาร์ของรัฐบาลทรัมป์ โดยรีพับลิกันและเดโมแครตไม่สามารถตกลงหาข้อยุติเรื่องงบประมาณได้ โดย รีพับลิกัน คุมเสียงส่วนใหญ่ในสภาสูงที่ 53  ขณะที่เดโมแครตมี 45 ที่นั่ง และ สว.อิสระอีก 2 ที่นั่ง ในการผ่านมติจึงจำเป็นจำเป็นต้องใช้เสียงของอีกฝ่าย 

เดโมแครต ใช้เสียงที่มีอยู่ในการต่อรองผลักดันนโยบายด้านสุขภาพ เรียกร้องให้ในร่างกฎหมายฯ ต้องขยายเวลาเงินอุดหนุนด้านสุขภาพ ภายใต้กฎหมาย Affordable Care Act (ACA) หรือที่มีชื่อเล่นว่า โอบามาแคร์ (Obamacare) ที่กำลังจะหมดอายุสิ้นปีนี้ คัดค้านการตัดงบโครงการประกันสุขภาพ Medicaid รวมถึงขยายเวลามาตรการลดหย่อนภาษีพิเศษที่ทำให้ค่าประกันสุขภาพถูกลง

ขณะที่พรรครีพับลิกัน ยืนยันว่า เรื่องงบประมาณและนโยบายสุขภาพควรได้รับการจัดการแยกกัน และกล่าวหาเดโมแครตว่าใช้งบประมาณเป็นตัวประกันทางการเมือง เพื่อเอาใจฐานเสียงของตัวเองก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2026

โดย นายจอห์น ธูน สว.รีพับลิกัน ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา ปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลงเนื้อหาร่างกฎหมายเพื่อเอาใจเดโมแครต ย้ำว่าสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการ "เปิดทำการรัฐบาลก่อน" เรื่องนโยบายสุขภาพไปเจรจากันภายหลัง

ซึ่งก่อนหน้าการลงมติ ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังได้เติมเชื้อไฟความตึงเครียด โดยขู่ว่าหากรัฐบาลชัตดาวน์ จะยกเลิกโครงการของเดโมแครตและเลิกจ้างเจ้าหน้าที่รัฐเพิ่มมากขึ้น "เราจะเลิกจ้างคนอีกจำนวนมาก และพวกเขาเหล่านั้นคือเดโมแครต”

หากมีการเลิกจ้างเพิ่มเติม อาจซ้ำเติมปัญหา “สมองไหล” หรือสูญเสียบุคลากรที่มีความสามารถ โดยในสัปดาห์นี้มีเจ้าหน้าที่ 150,000 คน จะออกจากบัญชีเงินเดือนของรัฐบาลกลางเนื่องจากการเข้าร่วมโครงการสมัครใจลาออก (buyout) ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดในรอบ 80 ปี ไม่รวมพนักงานอีกหลายหมื่นคนถูกไล่ออกไปแล้วในปีนี้

ทั้งนี้จะมีการลงมติอีกครั้งในวันที่ 1 ต.ค. (ตรงกับวันที่ 2 ต.ค. ของไทย) แต่มีโอกาสผ่านต่ำ โดยทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่มีท่าทีจะอ่อนข้อให้กัน และโจมตีว่าอีกฝ่ายเป็นต้นเหตุให้เกิดการชัตดาวน์ 

(Photo by Chip Somodevilla/Getty Images)
(Photo by Chip Somodevilla/Getty Images)

...

ผลกระทบที่เกิดขึ้น

หลายหน่วยงานรัฐบาลกลางจะปิดทำการตั้งแต่วันพุธที่ 1 ต.ค.ตามเวลาท้องถิ่น คาดอาจมีการพักงานเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 750,000 คน ซึ่งมีรายได้ต่อวันรวมกันที่ 400 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.3 หมื่นล้านบาท)

แต่สำหรับหน่วยงานที่ถือว่าจำเป็น และจะดำเนินการต่อไป อาทิ สำนักงานประกันสังคม, โครงการประกันสุขภาพ Medicare, ทหาร, ตรวจคนเข้าเมือง, การควบคุมจราจรทางอากาศ, ไปรษณีย์ ตามรายงานของสำนักข่าว CNN ระบุข้อมูลหน่วยงานที่สั่งพักงานเจ้าหน้าที่ เช่น

- กระทรวงกลาโหม พักงาน 3.35 แสนคน ทำงานต่อ 4.07 แสนคน

- กระทรวงพาณิชย์ พักงาน 3.5 หมื่นคน ทำงานต่อ 8 พันคน

- กระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์ พักงาน 3.2 หมื่นคน ทำงานต่อ 4.7 หมื่นคน

- กระทรวงทหารผ่านศึก พักงาน 1.5 หมื่นคน ทำงานต่อ 4.47 แสนคน

- กระทรวงความมั่นคงภายใน พักงาน 1.4 หมื่นคน ทำงานต่อ 2.58 แสนคน

- กระทรวงแรงงาน พักงาน 1 หมื่นคน ทำงานต่อ 3 พันคน

- กระทรวงศึกษาธิการ พักงาน 2 พันคน ทำงานต่อ 330 คน

ในส่วนของการสำนักงานรักษาความปลอดภัยด้านการเดินทาง (TSA) แม้ว่าเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศจะยังคงทำงาน แต่การลดจำนวนเจ้าหน้าที่เคยทำให้เกิดความล่าช้าของเที่ยวบินและคิวรอตรวจความปลอดภัยที่ยาวเหยียดมาแล้ว

นอกจากนี้ยังไม่ชัดเจนว่า อุทยานแห่งชาติกว่า 400 แห่ง จะเปิดทำการให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ตามปกติหรือไม่ โดยการชัตดาวน์ในอดีตหลายแห่งสามารถเปิดทำการต่อได้ตามปกติเนื่องจากใช้งบประมาณของรัฐตนเองบริหารช่วงชัตดาวน์  

...

นอกจากนี้คาดว่ารายงานสำคัญหลายฉบับจะถูกเลื่อนการเผยแพร่ ทั้งรายงานการจ้างงานประจำเดือน จากสำนักสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics – BLS) ซึ่งมีกำหนดจะเผยแพร่ในวันที่ 3 ต.ค.นี้ เนื่องจาก BLS เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่จะถูกปิดทำการ

รวมถึงข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ซึ่งเดิมกำหนดจะเผยแพร่ช่วงกลางเดือนตุลาคมก็อาจถูกเลื่อนออกไปเช่นกัน ซึ่งจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมและตลาดการเงินไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการตัดสินใจลงทุนได้ และอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจภาพรวม 

ทางผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากการชัตดาวน์ยืดเยื้อจะชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างความปั่นป่วนในตลาดและบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน

(Photo by Kevin Dietsch/Getty Images)
(Photo by Kevin Dietsch/Getty Images)


ทำไมชัตดาวน์ครั้งนี้ เสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่มากกว่าครั้งก่อน?

ในบันทึกภายใน (memo) ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ก่อน ของสำนักงานบริหารและงบประมาณของทำเนียบขาว (Office of Management and Budget: OMB) ได้แจ้งต่อหน่วยงานต่างๆ ให้เตรียมตัวสำหรับการพักงานชั่วคราว และยังต้อง เตรียมพร้อมสำหรับการเลิกจ้างถาวร หากเกิดรัฐบาลชัตดาวน์ 

...

ในบันทึกภายในดังกล่าว OMB สั่งการให้หน่วยงานต่าง ๆ เตรียมเอกสารแจ้ง ลดจำนวนบุคลากร สำหรับโครงการของรัฐบาลที่แหล่งงบประมาณอาจหมดลงหากเกิดการชัตดาวน์ และ "ที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของประธานาธิบดี" 

ทั้งนี้ OMB เป็นหน่วยงานที่เป็นผู้นำในการผลักดันแผนลดขนาดรัฐบาลกลาง ในฐานะส่วนหนึ่งของโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพรัฐบาลที่นำโดย “กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล” (DOGE) ของ อีลอน มัสก์ 

ขอบคุณ :cnn, theguardian, aljazeera, bbc