ครบรอบ 50 ปี สงครามเวียดนามสิ้นสุด แต่ฝันร้าย “ฝนเหลือง” ยังคงอยู่ ยังคงมีประชาชนกว่า 3 ล้านคน ซึ่งรวมถึงเด็กจำนวนมากยังคงทุกข์ทรมานจากผลกระทบของสารเคมี ขณะที่การกลับมาของ "ทรัมป์" สร้างความกังวลว่าอาจทำให้โครงการแก้ไขผลกระทบสงครามหยุดชะงัก
วันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2518 ถือเป็นวันสิ้นสุดสงครามเวียดนาม แม้ตอนนี้จะผ่านมาครบ 50 ปีเต็ม แต่ผลกระทบของ “ฝนเหลือง” ที่กองทัพสหรัฐฯ ใช้ ยังคงเป็นมรดกสงครามที่กระทบชีวิตของชาวเวียดนามหลายล้านคนจากรุ่นสู่รุ่นมาถึงทุกวันนี้
ฝนเหลือง คืออะไร
ย้อนไปในช่วงสงครามในสหรัฐฯ ได้ฉีดพ่นสารเคมีกำจัดศัตรูพืชรวมกว่า 72 ล้านลิตรเหนือผืนป่าของเวียดนาม เพื่อทำลายที่หลบซ่อนของทหารเวียดกง ซึ่งเกินครึ่งหนึ่งของสารเหล่านั้นคือสารที่ได้ชื่อว่า “Agent Orange” เนื่องจากสีของถังลายส้มที่ใช้ขนส่ง โดยเป็นการผสมสารฆ่าวัชพืชสองชนิด คือ 2,4,5-T และ 2,4-D แต่ 2,4,5-T ที่ใช้ผลิตฝนเหลือง ถูกปนเปื้อนด้วย 2,3,7,8-TCDD ซึ่งเป็นสารประกอบ “ไดออกซิน” ที่เป็นสารพิษร้ายแรง เชื่อมโยงทำให้เกิดมะเร็ง ความพิการแต่กำเนิดและผลกระทบระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อม เพราะไม่ย่อยสลายเองหรือย่อยสลายได้ยากตามธรรมชาติและเข้าไปสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหาร ตกค้างในร่างกายส่งต่อไปยังรุ่นลูกหลาน
มีรายงานว่า พื้นที่ 58 จังหวัดจาก 63 จังหวัดของเวียดนามพบการปนเปื้อนของไดออกซิน ป่าชายเลนเกินครึ่งถูกทำลาย โดยในปัจจุบันยังมีผู้คนมากกว่า 3 ล้านคน รวมถึงเด็กจำนวนมากที่ยังต้องทนทุกข์ทรมานจากปัญหาทางสุขภาพที่อาจเกี่ยวข้องจากสารนี้
...
ฝันร้ายจาก ฝนเหลือง ยังอยู่มาถึงปัจจุบัน
เหงียน ถั่นห์ หาย วัย 34 ปี คือหนึ่งในผู้ที่คาดว่าได้รับผลกระทบจากฝนเหลือง เขาเกิดมาพร้อมกับภาวะบกพร่องทางพัฒนาการ ที่ทำให้การทำเรื่องที่คนทั่วไปทำได้อย่างง่ายดาย เช่น การติดกระดุมเสื้อด้วยตัวเอง การคัดลายมือ วาดรูปทรงต่างๆ ไปจนถึงการพูดประโยคง่ายๆ กลายเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขา โดยหายมีความฝันว่าอยากเป็นทหารเพื่อปกป้องประเทศเหมือนกับคุณปู่ที่เป็นทหารในสงครามเวียดนาม แต่ตอนนี้เขาได้เขาเรียนร่วมกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนสำหรับเหยื่อจากฝนเหลือง
หมู่บ้านของหายตั้งอยู่ในเมืองดานัง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากฝนเหลืองมากที่สุด เนื่องจากเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศสหรัฐฯ ที่หลังจากถอนกำลังทหารไป ได้ทิ้งสาร Agent Orange ไว้เป็นจำนวนมหาศาล และสารเหล่านั้นได้ตกค้าง แทรกซึมเข้าไปในแหล่งน้ำและอาหารของหมู่บ้านต่างๆ รวมถึงหมู่บ้านของหาย กระทบชาวบ้านหลายชั่วอายุคน
ชาร์ล เบลีย์ ผู้ร่วมเขียนหนังสือ "From Enemies to Partners: Vietnam, the U.S. and Agent Orange" ระบุว่า ผลกระทบต่อผู้คนในเวียดนามตกอยู่กับคนรุ่นที่ 2, 3 หรืออาจไปถึงรุ่นที่ 4 โดยผลที่ตามมาคือความพิการแต่กำเนิด และความพิการอย่างรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ
อย่างไรก็ดีข้อมูลการศึกษาผลกระทบจากสารเคมีในฝนเหลืองต่อมนุษย์ยังคงไม่ชัดเจนนัก โดยส่วนหนึ่งมาจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ และเวียดนาม ที่เริ่มทำงานร่วมกันในปี 2549 ได้มุ่งเน้นไปที่การค้นหาและทำลายสารไดออกซินที่ตกค้างในธรรมชาติ มากกว่าการศึกษาถึงผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์
ทั้งนี้เวียดนามระบุตัวผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากฝนเหลือง ด้วยการตรวจสอบประวัติครอบครัว สถานที่ที่พวกเขาอยู่อาศัย และปัญหาสุขภาพที่เชื่อมโยงกับสารพิษ
การทำความสะอาดสารตกค้างจากฝนเหลือง
ในช่วงเวลาหลายสิบปีหลังสงครามสิ้นสุด เวียดนามได้เริ่มปิดกั้นพื้นที่ที่ปนเปื้อนอย่างหนัก เช่น สนามบินดานัง และเริ่มเยียวยาครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบ แต่ขณะเดียวกันฝั่งสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ยังเพิกเฉยต่อหลักฐานว่าสารเคมีเหล่านี้กระทบต่อสุขภาพ จนกระทั่งช่วงในปี พ.ศ. 2534 จึงเริ่มให้เงินสนับสนุนในการกำจัดสารเคมีในเวียดนาม และยอมรับว่ามีโรคบางชนิดที่อาจเกี่ยวข้องกับฝนเหลือง และให้สวัสดิการแก่ทหารอเมริกันที่ได้รับผลกระทบ
เหงียน วัน อาน ประธานสมาคมผู้ได้รับผลกระทบจากฝนเหลืองในเมืองดานัง ระบุว่า ภัยพิบัติจากฝนเหลืองนำความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานมาสู่ชาวเวียดนามกว่า 4 ล้านคน และพวกเขาเชื่อมาโดยตลอดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ และบริษัทผู้ผลิตสารเคมีคือผู้รับผิดชอบในการดูแลและสนับสนุนผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ
...
การกำจัดสารเคมีจากฝนเหลืองมีค่าใช้จ่ายสูงและเป็นอันตราย ดินที่มีการปนเปื้อนสูงจะต้องถูกขุดขึ้นมาและนำไปอบด้วยอุณหภูมิที่สูงมาก ขณะที่ดินที่ปนเปื้อนน้อยสามารถกำจัดโดยการฝังกลบได้ และแม้จะมีการเดินหน้าทำลายสารตกค้างมาหลายปี แต่ก็ยังเหลือพื้นที่อีกเป็นจำนวนมากที่ยังปนเปื้อนอยู่
อย่างเช่น ฐานทัพอากาศในเมืองดานังที่ได้ปนเปื้อนอย่างหนักจากการขนส่งและจัดเก็บสาร Agent Orange รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้งบประมาณไปกว่า 110 ล้านดอลลาร์ (ราว 3.7 พันล้านบาท) ในการทำความสะอาดจนแล้วเสร็จเมื่อปี 2561 แต่พื้นที่ที่มีขนาดเท่า 10 สนามฟุตบอลนี้ ยังคงมีการปนเปื้อนอยู่
นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2534 ได้มีการใช้งบประมาณกว่า 155 ล้านดอลลาร์ (ราว 5.2 พันล้านบาท) ในการช่วยเหลือผู้พิการในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากฝนเหลือง และจากข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ทั้งสองประเทศยังได้ร่วมมือกันในการกู้ศพทหาร ค้นหาผู้สูญหาย
ความร่วมมือในการแก้ไขมรดกสงครามเหล่านี้ ยังเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนาม จนยกระดับเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม (Comprehensive Strategic Partnership) ในปี พ.ศ.2566
...
การกลับมาของ "ทรัมป์ และอนาคตที่ไม่แน่นอน
อย่างไรก็ดี การกลับมาดำรงตำแหน่งอีกสมัยของ "ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” และการตัดงบประมาณของหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ (USAID) ซึ่งทำหน้าที่บริหารโครงการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในนามของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้สร้างความกังวลว่าการแก้ไขมรดกสงครามเหล่านี้อาจหยุดชะงักลง
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โครงการกำจัดสารเคมีตกค้างในฐานทัพอากาศเบียนฮวา พื้นที่ที่มีการปนเปื้อนของไดออกซินมากที่สุดในเวียดนาม ที่ได้เดินหน้ากำจัดไดออกซินที่ปนเปื้อนในดินขนาด 500,000 ลูกบาศก์เมตร หรือปริมาณราว 40,000 รถบรรทุกมายาวนานกว่า 10 ปี ได้หยุดชะงักไป 1 สัปดาห์ก่อนกลับมาดำเนินการต่อ
ชาร์ล เบลีย์ ยังได้กล่าวด้วยว่า อนาคตของเงินทุน USAID สำหรับการทำความสะอาดและโครงการช่วยเหลือสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากฝนเหลืองยังไม่แน่นอน
การตัดงบประมาณ USAID คาดว่าจะทำให้เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ในเวียดนามถูกย้ายออกภายในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ไม่เหลือใครในการดูแลบริหารจัดการเงินทุนสำหรับโครงการเหล่านี้ แม้ว่าโครงการจะยังมีต่อไปก็ตาม
ทิม ไรเซอร์ อดีตผู้ช่วยด้านนโยบายของวุฒิสมาชิกแพทริค ลีฮี ซึ่งเป็นผู้จัดสรรทุนเริ่มต้นสำหรับโครงการแก้ไขผลกระทบจากสงครามเวียดนาม และปัจจุบันนั่งเป็นที่ปรึกษาของวุฒิสมาชิกปีเตอร์ เวลช์ กล่าวว่า สภาคองเกรสยังคงให้การสนับสนุนโครงการเหล่านี้ แต่เป็นเรื่องยากในการดำเนินการต่อหากไม่มีเจ้าหน้าที่
“มากกว่า 30 ปี ที่สหรัฐฯ และเวียดนามได้ทำงานร่วมกันในการสร้างฟื้นฟูความสัมพันธ์โดยการจัดการมรดกอันเลวร้ายจากสงคราม อย่างเช่น ฝนเหลือง” ไรเซอร์ กล่าวและว่า “แต่รัฐบาลทรัมป์ กลับปิดทุกอย่างโดยไม่ใส่ใจต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อความสัมพันธ์กับพันธมิตรที่สำคัญในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก”
...
ชัค เซียร์ซี ทหารผ่านศึกชาวอเมริกันในสงครามเวียดนาม ซึ่งได้ทำงานในโครงการด้านมนุษยธรรมในเวียดนามมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 ระบุว่า เขากังวลว่าความไว้เนื้อเชื่อใจที่สร้างมาหลายปีอาจพังทลายอย่างรวดเร็ว และผู้ที่ได้ประโยชน์จากโครงการของสหรัฐฯ ต่างเป็น "เหยื่อผู้บริสุทธิ์"
"พวกเขาตกเป็นเหยื่อสองครั้ง ครั้งแรกจากสงครามและผลกระทบที่พวกเขาต้องแบกรับ และครั้งที่สองจากการถูกตัดความช่วยเหลือ" เซียร์ซี กล่าว