ใครชอบการท่องเที่ยวแนวผจญภัย ต้องการสัมผัสธรรมชาติที่ไม่เหมือนใคร น่าจะลองดูกับการแบกเป้ลากกระเป๋าไปเที่ยวเกาะลอมบอก (Lombok) จังหวัดนูซาเติงการาตะวันตก ประเทศอินโดนีเซีย ภูมิประเทศเป็นเทือกเขาและภูเขาไฟ มีเนื้อที่ 4,725 ตารางกิโลเมตร สภาพอากาศร้อนชื้นตลอดทั้งปี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะบาหลี โดยช่วงไฮซีซั่นอยู่ระหว่างเดือน มิ.ย. ถึง ต.ค. อีกหนึ่งสวรรค์ของแบ็กแพ็กเกอร์ไม่ควรพลาด เพื่อสร้างประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต และคำว่า "ลอมบอก" หรือ ”ลมบก” หมายถึง "พริกขี้หนู" ในภาษาชวา ซึ่งความสวยงามไม่เล็กพริกขี้หนูเลย

เกาะลอมบอก ยังเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟรินจานี ที่ยังไม่ดับสนิท มีความสูงอันดับ 2 ของอินโดนีเซีย ท่ามกลางทะเลสาบล้อมรอบ หากจำกันได้เมื่อ 29 ก.ค. 2561 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงทางตอนเหนือของเกาะลอมบอกในรอบ 100 ปี มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก และศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างภูเขาไฟรินจานี เพียง 15 กิโลเมตร ทำให้เกิดดินถล่มปิดทับทางเข้าออกหลายจุด มีนักท่องเที่ยวคนไทยติดอยู่บนภูเขาไฟรินจานี กว่า 300 ชีวิต โชคดีได้รับการช่วยเหลืออย่างปลอดภัย

...

แล้วปัจจุบันเกาะลอมบอก เป็นอย่างไร เมื่อทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ ได้รับการเชิญอย่างกะทันหันจากสายการบินสกู๊ต ในเครือสิงคโปร์ แอร์ไลน์ส ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของอินโดนีเซีย และเหล่าพันธมิตรที่เป็นผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ก็ตอบรับทันที เป็นหนึ่งเดียวจากประเทศไทย เข้าร่วมทริปในครั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. ถึง 3 ธ.ค. 2566 รวม 7 วัน ในการโปรโมตการท่องเที่ยว และทางการอินโดนีเซียตั้งเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติ 14 ล้านคนในปี 2567 หวังช่วยเสริมมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศให้สูงถึง 200 ล้านล้านรูเปียห์อีกด้วย

วันแรกในการเดินทางไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 27 พ.ย. เพื่อเช็กอินก่อนเดินทาง โดยเที่ยวบิน TR 609 สายการบินสกู๊ต จากกรุงเทพฯ เวลา 09.30 น. ไปยังสนามบินนานาชาติชางงี ประเทศสิงคโปร์ ในเวลา 12.55 น. ก่อนรอต่อเครื่อง เวลา 16.05 น. เที่ยวบิน TR 260 ไปสนามบินลอมบอก เวลา 19.00 น. ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ท่ามกลางความตื่นเต้นเพราะกว่าจะได้รับกระเป๋าที่โหลดก็น่าจะใบสุดท้าย แล้วโรมมิ่งที่เปิดไว้ ก็ดันไม่มีสัญญาณเน็ต ตายๆ...ต้องสแกนโหลดไวไฟสนามบิน เพื่อกรอกแบบฟอร์มตรวจคนเข้าเมืองออนไลน์

เมื่อผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง เดินไม่ไกลมากนัก ก็พบกับทีมงานจากประเทศอินโดนีเซีย ชูป้าย ”Wonderful Indonesia” คอยต้อนรับอย่างอบอุ่น ก่อนพาไปรับประทานอาหารฮาลาล จากนั้นมุ่งสู่โรงแรมคายานา บีช รีสอร์ต อยู่ทางทิศเหนือของเกาะลอมบอก ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงกว่า ถึงที่พักประมาณ 5 ทุ่มนิดๆ เหนื่อยเอาการพอสมควร แต่เมื่อมาเจอห้องพักพูลวิลล่า ติดทะเล ก็แอบยิ้มเล็กๆ เพราะสวยมากบรรยากาศดี มีเสียงร้องตุ๊กแกหน้าหาดคอยขับกล่อมเป็นเพื่อน ก่อนราตรีสวัสดิ์ นอนแล้วนะ ต้องตื่นแต่เช้าปฏิบัติภารกิจวันที่ 2 ร่วมดื่มด่ำทิวทัศน์ที่น่าทึ่งของเกาะลอมบอก มีชายหาดที่งดงามและป่าไพรธรรมชาติอันเขียวขจี

The Kayana Beach Lombok
The Kayana Beach Lombok

วันที่ 2 เหมือนฟ้าฝนไม่เป็นใจ ฝนเทลงมาในช่วงบ่ายขณะเดินทางไปเส้นทางป่าปูซุก (Pusuk Pass) ทางด้านตะวันตกของอุทยานแห่งชาติเขารินจานี ระดับความสูงจากน้ำทะเล 1,200 เมตร และตลอดเส้นทางคดเคี้ยวผ่านป่าทึบบนเขา มีเจ้าลิงลงมาจากป่าปรากฏตัวให้เห็นริมถนน เผื่อว่ามีคนใจดีนำผลไม้และถั่วมาให้กิน เพราะฉะนั้นต้องขับรถอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก ไม่ให้เฉี่ยวชนเจ้าลิง จากนั้นได้แวะเก็บภาพบนจุดชมวิว มองเห็นเกาะกิลี อยู่ไกลๆ โน่น

...

ฝนยังคงตกไม่หยุด ไม่เป็นอุปสรรคในการเข้าชมสวนสาธารณะนาร์มาดา (Narmada Park) อดีตสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของกษัตริย์แห่งบาหลี Anak Agung Gede Ngurah Karang Asem สร้างขึ้นในปี 1727 เป็นที่ตั้งของวัดฮินดูเก่าแก่ใกล้กับทะเลสาบ มีสระน้ำให้เหล่าสตรีในสมัยนั้นได้ลงไปแช่ และมีน้ำพุศักดิ์สิทธิ์จากภูเขาไฟรินจานี ซึ่งผู้หญิงในเกาะลอมบอกเชื่อกันว่าผู้ที่ดื่มน้ำพุแห่งนี้ จะมีชีวิตอันยืนยาวและอ่อนเยาว์มากขึ้น

...

วันที่ 3 ของทริป ”Wonderful Indonesia” ชุดว่ายน้ำ อุปกรณ์ดำน้ำตื้นพร้อม นั่งเรือสปีดโบ๊ตจากหน้าโรงแรมไปยังเกาะกิลี (Gili) และคำว่า ”กิลี” แปลว่าเล็ก ประกอบด้วย 3 เกาะเล็กๆ ต้องไปเยือนดูความสวยงามของน้ำทะเลใส หากโชคดีก็จะเจอเต่ายักษ์ เริ่มจากเกาะกิลีแอร์ เกาะที่อยู่ใกล้เกาะลอมบอกมากสุด ผู้คนไม่พลุกพล่านมากนัก

จากนั้นไปต่อเกาะกิลีเมโนเกาะที่เงียบสงบ ก่อนขึ้นฝั่งบนเกาะกิลีตราวางัน เกาะที่ใหญ่ที่สุด เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยววัยรุ่นโดยเฉพาะชาวยุโรป สวรรค์ของคนชอบปาร์ตี้ยามราตรี ซึ่งทั้ง 3 เกาะสามารถเดินทางโดยเรือมาจากเกาะลอมบอก บริเวณท่าเรือบังซัล (Bangsal) หรือมาจากเกาะบาหลีก็ได้แล้วแต่ความสะดวก

เกาะกิลีตราวางัน เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยววัยรุ่นยุโรป
เกาะกิลีตราวางัน เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยววัยรุ่นยุโรป

...

เช้าวันที่ 4 เช็กเอาต์ออกจากโรงแรม เดินทางไปเมืองมันดาลิกา (Mandalika) พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ทางตอนใต้ของเกาะลอมบอก อยู่ห่างจากสนามบินลอมบอก 17 กิโลเมตร และเป็นที่ตั้งของรีสอร์ต โรงแรมที่พักระดับไฮเอนด์ อาทิ พูลแมน ในเครือแอคคอร์ (Accor) และโนโวเทล และแน่นอนต้องแวะไปดูความยิ่งใหญ่ของสนามแข่งรถ “มันดาลิกา อินเตอร์เนชั่นแนล สตรีท เซอร์กิต” สังเวียนความเร็วแห่งใหม่ของอินโดนีเซีย ก่อสร้างเมื่อปี 2019 และเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อ 12 พ.ย. 2021

ก่อนจะเช็กอินเข้าพักโรงแรมพูลแมน ในช่วงเย็นต้องขึ้นเขามันดาลิกา ชมพระอาทิตย์ตก เมื่อมองเบื้องล่างจะเห็นชายหาดทอดยาว และภูเขาเรียงราย เป็นภาพธรรมชาติน่าประทับใจ พร้อมกับแสงสีทองของพระอาทิตย์สะท้อนไปบนผิวน้ำทะเล ตัดกับเมฆหมอกจางๆ บนท้องฟ้า และการเดินทางกลับของฝูงวัวบริเวณชายหาด กระทั่งพระอาทิตย์ลาลับ ได้เวลาอาบน้ำเอนกายพักผ่อน เตรียมพร้อมเดินทางในวันรุ่งขึ้นสำหรับทริปต่อไป

วันที่ 5 สภาพร่างกายต้องพร้อมในการเดินภายในเขารินจานี ชมความสวยงามของน้ำตกเบนัง เคลแลมบู (Benang Kelambu) มีน้ำแร่ธรรมชาติไหลลงมาเป็นน้ำตก ความสูงประมาณ 30 เมตร เหมือนม่านน้ำแตกกระเซ็นในป่าลึกเขียวขจี ในพื้นที่เดียวกันยังมีน้ำตกเบนัง สโตเกล (Benang Stokel) เต็มไปด้วยธรรมชาติ และแม้จะเหนื่อยเพียงใดจากการขึ้นลงทางชัน ต้องขอสูดอากาศบริสุทธิ์ให้ความสดชื่นกับร่างกาย และเอามือกวักน้ำตกเย็นๆ มาชโลมใบหน้า ถือว่าคุ้มค่ามากๆ

งานนี้หนักเอาการจนเหงื่อท่วมเสื้อ เมื่อพักรับประทานอาหารมื้ออร่อยในท้องถิ่น ไปต่อหมู่บ้านของชาวซาซัค (Sasak) ชนพื้นเมืองในเกาะลอมบอก และชาวลอมบอกส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าซาซัคที่อพยพมาจากดินแดนอินโดจีน มาตั้งถิ่นฐานบนเกาะลอมบอก แม้ยุคสมัยเปลี่ยนไป แต่ชาวซาซัตยังมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ในการสร้างบ้านจากวัสดุธรรมชาติ ก่อผนังฉาบด้วยมูลวัวผสมดินเหนียว และถือว่าวัวทั้งหลาย มีบุญคุณทำงานหนักให้กับพวกเขา

แต่ประเพณีค่อนข้างแปลกของชาวซาซัค ต้องไม่มีความรัก ฝ่ายชายจะใช้วิธีฉุดหญิงสาวพาหนีไปซ่อนอยู่กับญาติไม่ให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงรู้ แต่ถ้าพ่อแม่หาตัวลูกสาวเจอก็ต้องฉุดใหม่ อาจสร้างความเกลียดชังระหว่างกันได้หากฝ่ายหญิงมีคู่รักแล้ว และเมื่อฉุดสาวเป็นเวลา 1 วัน ทางฝ่ายชายจะส่งตัวแทนแจ้งข่าวไปยังพ่อแม่ฝ่ายสาว เพื่อเจรจาในการแต่งงาน หากเอามาใช้ในเมืองไทยคงถูกจับเข้าคุก ติดตะรางไปแล้ว อย่าได้ทำอย่างเด็ดขาด

วันที่ 6 วันสุดท้ายก่อนกลับ แวะชมการทอผ้าของหญิงชาวซาซัค กว่าจะได้ 1 ผืนบางชิ้นใช้เวลากว่า 3 เดือน แต่ลายเส้นสวยมากๆ นำไปทำกระเป๋า เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายหลายแบบ และอดไม่ได้ต้องซื้อกระเป๋าสะพายไป 2 ใบ หลังจากซื้อกะปิ กลิ่นหอมแรงของชาวซาซัคไปแล้วเมื่อวันก่อน เอาไปเป็นของฝากจากเกาะลอมบอก และปิดท้ายทริปวันสุดท้ายด้วยการนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินอีกแล้ว ยังหาดเซลองเบลานัค (Selong Belanak) ชายหาดยอดนิยมความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร อยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านกูตาทางตอนใต้ของเกาะลอมบอก ถือว่าโชคดีมากๆ เป็นวันที่พระอาทิตย์ตกสวยงามสีอย่างกับไข่ดาวสีแดงปนส้ม ก่อนกลับไทยในวันรุ่งขึ้น “Sugeng dalu” ลาก่อน!!