“ลุกขึ้น...เพื่อหัวใจ!” เปิดผลการวิจัยว่า ทำอย่างไร? เป็นหลักปฏิบัติง่ายจริงแค่ไหน? จะได้ผลจริงแค่ไหน?
วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 คณะนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตีคอลเลจลอนดอน หรือ ยูซีแอล (UCL : University College London) ตีพิมพ์ในวารสาร European Heart Journal รายงานผลการวิจัยใหม่เกี่ยวกับพฤติกรรมประจำวันต่อสุขภาพของหัวใจ สรุปรวมยอดเป็นหลักปฏิบัติง่ายๆ เพื่อสุขภาพที่ดีของหัวใจ
หลักปฏิบัติง่ายๆ คือ “ลุกขึ้น...เพื่อหัวใจ!”
“เชื่อ คิดและทำ อย่างวิทยาศาสตร์” วันนี้ ขอนำท่านผู้อ่านไปเปิดผลการวิจัยว่า ทำอย่างไร? เป็นหลักปฏิบัติง่ายจริงแค่ไหน? จะได้ผลจริงแค่ไหน?
โรคหัวใจ...ร้ายแรงแค่ไหน?
ก่อนเปิดดูรายงานผลการวิจัยล่าสุด เราไปสำรวจอย่างเร็วๆ ดูสภาพการณ์เกี่ยวกับหัวใจ ในประเด็นส่วนเกี่ยวข้องกับสุขภาพของคนทั้งโลก รวมทั้งของคนไทยด้วย
ตัวชี้วัดที่มักใช้กันบ่อยถึงความสำคัญต่อปัญหาเรื่องสุขภาพเกี่ยวกับหัวใจ คือ อันดับความรุนแรงของสาเหตุการเสียชีวิตของคน ทั้งในระดับโลก และในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 10 อันดับแรกสาเหตุการสูญเสียชีวิต
แหล่งข้อมูลสำคัญ คือ องค์การอนามัยโลก (WHO : World Health Organization) และสำหรับประเทศต่างๆ ก็จะมีหน่วยงานเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งสำหรับประเทศไทยของเรา ก็มีกรมอนามัย กรมควบคุมโลก กระทรวงสาธารณสุข แล้วก็ยังมีแหล่งข้อมูลใหญ่ในระดับทั้งประเทศและโลกที่ไม่เป็นทางการ แต่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลก และทางการของประเทศต่างๆ
...
สำหรับระดับโลก ตามข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก 10 สาเหตุการสูญเสียชีวิตสำหรับปี พ.ศ. 2561 คือ :-
อันดับ 1 : โรคหัวใจ
อันดับ 2 : เส้นเลือดในสมองแตก
อันดับ 3 : โรคปอดอักเสบเรื้อรัง
อันดับ 4 : การติดเชื้อทางเดินหายใจ
อันดับ 5 : การติดเชื้อในทารกแรกเกิด
อันดับ 6 : มะเร็งปอดและหลอดลม
อันดับ 7 : โรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม
อันดับ 8 : โรคอุจจาระร่วง
อันดับ 9 : โรคเบาหวาน
อันดับ 10 : โรคไต
สำหรับระดับประเทศ เราจะดูข้อมูลของสองประเทศ คือ สหรัฐอเมริกาและประเทศไทย
ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศสหรัฐอเมริกาน่าสนใจ เพราะมีการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ และสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศใหญ่ มีประชากรประมาณ 330 ล้านคน จึงมีตัวอย่างข้อมูลระดับใหญ่

ตามศูนย์สถิติสุขภาพแห่งชาติ หรือ เอนซีเอชเอส (National Center for Health Statistics : NCHS) สหรัฐอเมริกา สำหรับปี พ.ศ. 2564 สาเหตุการสูญเสียชีวิตในสหรัฐอเมริกา 10 อันดับแรก คือ :-
อันดับ 1 : โรคหัวใจ
อันดับ 2 : มะเร็ง
อันดับ 3 : โควิด-19
อันดับ 4 : อุบัติเหตุ
อันดับ 5 : เส้นเลือดในสมองแตก
อันดับ 6 : โรคปอดอักเสบเรื้อรัง
อันดับ 7 : โรคอัลไซเมอร์
อันดับ 8 : โรคเบาหวาน
อันดับ 9 : โรคตับอักเสบ
อันดับ 10 : โรคไต
สำหรับประเทศไทยของเราล่ะ?
ตามสถิติสาธารณสุขของกระทรวงสาธารณสุข 10 อันดับแรกสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยสำหรับปี พ.ศ. 2563 คือ :-
อันดับ 1 : มะเร็งทุกชนิด
อันดับ 2 : โรคหลอดเลือดในสมอง
อันดับ 3 : ปอดอักเสบ
อันดับ 4 : โรคหัวใจขาดเลือด
อันดับ 5 : อุบัติเหตุจากการคมนาคมขนส่งทางบก
อันดับ 6 : โรคเบาหวาน
อันดับ 7 : โรคตับ
อันดับ 8 : โรคทางเดินหายใจส่วนล่างเรื้อรัง
อันดับ 9 : วัณโรค
อันดับ 10 : โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องเนื่องจากเชื้อไวรัส
แต่สำหรับประเทศไทยของเรา มีข้อมูลจาก จีบีดี (GBD) หรือ ภาระจากโรคของโลก (Global Burden of Disease) ซึ่งเป็นโครงการอิสระ สำรวจและศึกษาการแพร่กระจายของโรคร้าย และปัจจัยสาเหตุทำให้เกิดการสูญเสียทางด้านสุขภาพทั้งระดับโลกและของประเทศต่างๆ มีนักวิจัยร่วมโครงการกระจายอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก 145 ประเทศ รวมทั้งหมดมากกว่า 3,600 คน ภายใต้การสนับสนุนด้านการเงินโดย มูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ (Bill and Melinda Gates) มีศูนย์ดำเนินงานโครงการอยู่ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน
ตามรายงานของจีบีดี สำหรับประเทศไทย 10 อันดับ สาเหตุการสูญเสียชีวิตคนในประเทศไทยสำหรับปี พ.ศ. 2562 คือ :-
อันดับ 1 : โรคหัวใจ
อันดับ 2 : โรคเส้นเลือดในสมองแตก
...
อันดับ 3 : โรคทางเดินหายใจส่วนล่างเรื้อรัง
อันดับ 4 : โรคไต
อันดับ 5 : มะเร็งตับ
อันดับ 6 : มะเร็งปอด
อันดับ 7 : โรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม
อันดับ 8 : โรคตับแข็งและตับอักเสบเรื้อรัง
อันดับ 9 : โรคเบาหวาน
อันดับ 10 : อุบัติเหตุบนท้องถนน
โรคหัวใจโดยทั่วไป จะหมายถึงโรคที่เกี่ยวกับ หัวใจ หรือการทำงานของหัวใจ ทั้งที่เกิดจากการติดเชื้อ หรือความผิดปรกติของเซลล์กลายเป็นมะเร็งที่ไม่เกี่ยวกับการติดเชื้อ และยังรวมไปถึงปัญหาประสิทธิภาพการทำงานที่ไม่เกี่ยวกับ เชื้อโรคหรือมะเร็ง แต่เกิดจากพฤติกรรมของการใช้ชีวิตประจำวัน ความเครียดจากการทำงานหนักเกินไป หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้หัวใจทำงานอย่าง “ผิดจังหวะ” หรือ “หนักเกินไป” แล้วก็ยังมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจที่ “เป็นมาตั้งแต่เกิด”
ในการระบุสาเหตุการเสียชีวิตจาก “โรคหัวใจ” ที่ถูกต้องจริงๆ ต้องระบุให้ชัดเจนว่า เป็นความผิดปรกติของหัวใจจากสาเหตุอะไร เป็นเพราะโรคติดเชื้อหรือไม่ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคกล้ามเนื้อหัวใจ, หัวใจเต้นผิดจังหวะ, โรคลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว ฯลฯ แต่สำหรับเรื่องของเราวันนี้ โดยทั่วไปผู้เขียนขอใช้คำเรียกรวมๆ เป็น โรคหัวใจ ซึ่งจะรวมทั้งที่เกิดจากการติดเชื้อและไม่ใช่การติดเชื้อโดยตรง

...
จากรายงาน 10 อันดับสาเหตุการเสียชีวิตที่ยกมาให้ท่านผู้อ่านได้เห็น ทั้งข้อมูลระดับโลก ข้อมูลของสหรัฐอเมริกา และในประเทศไทย สำหรับระดับโลก (ปี พ.ศ. 2563) และในสหรัฐอเมริกา (ปี พ.ศ. 2564) สาเหตุทำให้ผู้คนเสียชีวิตมากที่สุด คือ โรคหัวใจ หรือความผิดปรกติการทำงานของหัวใจ
สำหรับประเทศไทย ตามข้อมูลจากสองแหล่ง อันดับแรกๆ ของสาเหตุการเสียชีวิต ไม่ตรงกัน โดยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข อันดับหนึ่งของสาเหตุการเสียชีวิตสำหรับปี พ.ศ. 2563 คือ มะเร็งทุกชนิด ส่วนสาเหตุจากโรคหัวใจ ติดอยู่ที่อันดับสี่
ส่วนข้อมูลจาก จีบีดี สำหรับปี พ.ศ. 2562 สาเหตุการเสียชีวิตในประเทศไทยมากที่สุดอันดับที่หนึ่ง คือ โรคหัวใจ โดยระบุลึกลงไปว่า เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ตรงกับสถิติข้อมูลระดับโลกและของสหรัฐอเมริกา
ยกเว้นข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข สำหรับ 10 สาเหตุการเสียชีวิตในประเทศไทย ก็เห็นได้ชัดเจนว่า โรคหัวใจ (รวมทุกสาเหตุ) เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตของคนทั้งโลก, สหรัฐอเมริกา และประเทศไทย
โดยภาพรวม จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า โรคหรือความผิดปรกติเกี่ยวกับหัวใจ เป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก
ส่วนในประเทศไทย ถึงแม้ข้อมูลอย่างเป็นทางการจากกระทรวงสาธรณสุขสำหรับปี พ.ศ. 2563 ปรากฏว่า โรคหัวใจมิใช่สาเหตุใหญ่ที่สุดการสูญเสียชีวิตของคนไทยในประเทศไทย ซึ่งแสดงว่า สภาพการณ์เกี่ยวกับโรคหัวใจดูจะดีขึ้น
แต่ข่าวล่าสุดจากระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวเนื่องกับ “วันหัวใจโลก” เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 ก็ฉายภาพเกี่ยวกับสภาพการณ์โรคหัวใจของคนไทยที่ “ไม่ทำให้คนไทยเราสบายใจขึ้น”
วันหัวใจโลก...วันเพื่อหัวใจคนทั้งโลก!
...
“วันหัวใจโลก” หรือ “World Heart Day” กำเนิดขึ้นมาในปี พ.ศ. 2542 โดย World Heart Foundation (สมาพันธ์หัวใจโลก) มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ โดยองค์การอนามัยโลก เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมสร้างความตระหนักแก่คนทั้งโลกต่อภัยและการดูแลหัวใจ
วันที่ 29 กันยายน ของทุกปี ถูกเลือกให้เป็น “วันหัวใจโลก” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555
คำขวัญสำหรับวันหัวใจโลกปี พ.ศ. 2566 คือ “Use Heart, Know Heart” หรือ “ใช้หัวใจ รู้จักหัวใจ”
ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่สนับสนุนวันหัวใจโลก
เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2566 นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวเนื่องในวันหัวใจโลกปี พ.ศ. 2566 ว่า ทุกวันที่ 29 กันยายน ของทุกปี เป็นวันหัวใจโลก และย้ำว่า โรคเกี่ยวกับหัวใจเป็นโรคที่อันตรายต่อประชากรโลกอย่างที่สุด โดยอ้างข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก
สำหรับประเทศไทย ตามรายงานล่าสุดของกระทรวงสาธารณสุขปี พ.ศ. 2565 พบว่า คนไทยเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง 7 หมื่นราย เฉลี่ยชั่วโมงละ 8 คน และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นทุกปี
เท่านี้ ก็คงชัดเจนแล้วว่า โรคหัวใจ “ร้ายแค่ไหน!”

การวิจัยใหม่...ใหม่อย่างไร?
โดยภาพรวม จากความร้ายแรงของโรคหรือความผิดปรกติของหัวใจต่อสุขภาพ ดังนั้น จริงๆ แล้ว เรื่องของการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับหัวใจ เกี่ยวกับโรคหัวใจ จึงเป็นเรื่องใหญ่เรื่องที่สนใจและมีการศึกษาวิจัยกันอย่างมากมายทั่วโลกตลอดมา และก็มีข้อแนะนำ, หลักปฏิบัติและวิธีการเพื่อการดูแลสุขภาพหัวใจจากผลการศึกษาวิจัยออกมามากมาย
แล้วการวิจัยใหม่นี้ ใหม่อย่างไร?
โดยภาพรวม การวิจัยที่ว่าใหม่นี้ มีวัตถุประสงค์มุ่งเป้าไปที่ผลการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมประจำวันของคนเราแต่ละคนต่อสุขภาพของหัวใจ คณะวิจัยใช้ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 6 กลุ่ม รวม 15,246 คน ใน 5 ประเทศ ประกอบด้วย (1) เนเธอร์แลนด์ (2) อังกฤษ (3) ออสเตรเลีย (4) เดนมาร์ก และ (5) ฟินแลนด์ โดยให้แต่ละคนติดอุปกรณ์ตรวจวัดสภาพร่างกายที่ต้นขา ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงของแต่ละวัน เป็นเวลา 7 วัน แล้วโฟกัสดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสุขภาพหัวใจ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในรอบวัน ตั้งแต่การทำงาน นั่งทำงาน ยืนทำงาน การออกกำลังกาย ตั้งแต่เบาๆ ถึงปานกลาง และหนัก การนอน ทั้งที่เป็นปรกติประจำ และที่เป็นพฤติกรรมใหม่
สำหรับการวัดสุขภาพหัวใจ คณะวิจัยใช้วิธีตรวจจับดูสภาพและการเปลี่ยนแปลงของตัวชี้วัด (บอกสุขภาพหัวใจ) 6 ตัว คือ :-
หนึ่ง : ค่าดัชนีมวลกาย (บีเอ็มไอ : BMI : body mass index) เป็นค่าบอกน้ำหนักตัวที่ควรจะเป็น และระดับไขมันในร่างกายโดยใช้น้ำหนักตัวและส่วนสูง เป็นดัชนีบอกถึงความเป็นคนอ้วน - ผอม - หรือปรกติ
สอง : เส้นรอบเอว
สาม : ค่าเอชดีแอล (HDL) หรือค่าคอเลสเตอรอลดี
สี่ : ค่าอัตราส่วนคอเลสเตอรอลรวม (total cholesterol หรือ HDL กับคอเลสเตอรอลร้าย หรือ LDL) กับคอเลสเตอรอลดี
ห้า : ค่าไขมันในเลือดไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride)
หก : ค่าเฉลี่ยของน้ำตาลในเลือด หรือฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1c : hemoglobin A1c)
สำหรับผลรวมสุดท้าย คณะนักวิจัยก็นำผลจากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดในห้าประเทศ มาวิเคราะห์สรุป ได้ผลดังที่ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร European Heart Journal เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566
แล้ว (อีกครั้ง) การวิจัยใหม่นี้ ใหม่อย่างไร?
ความใหม่ของการวิจัย มิใช่เป็นการใช้ตัวอย่างข้อมูลการวิจัยจำนวนมาก (15,246 คน) ในหลายประเทศ (5 ประเทศ) เพราะการวิจัยยุคใหม่ โดยอาศัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ก็สามารถทำกับตัวอย่างการวิจัยเป็นจำนวนระดับเป็นแสนได้ ในประเทศที่มากกว่าห้าประเทศได้
ความใหม่ของการวิจัย มี 2 ประการ
หนึ่ง : เป็นการวิจัยครั้งแรกที่โฟกัสการติดตามความเปลี่ยนแปลงของรูปแบบพฤติกรรมในรอบ 24 ชั่วโมง ต่อเนื่องกัน โดยวิธีการใช้เครื่องวัดติดอยู่ที่หน้าขา ซึ่งสามารถวัดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยได้
สอง : เป็นผลงานแรกของ โปรแพส (ProPASS : Prospective Physical Activity, Sitting and Sleep) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหรือเวทีการวิจัยนานาชาติ ที่โฟกัสความสำคัญของกิจกรรมและพฤติกรรม ในรอบ 24 ชั่วโมงของมนุษย์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การออกกำลังกาย, อากัปกิริยาในการใช้ชีวิตกลางวันของการนั่งทำงาน และการนอน

ผลวิจัยใหม่ : ลุกขึ้น...เพื่อสุขภาพ!
โดยภาพรวม ผลการวิจัยสอดคล้องกับความรู้ความเข้าใจโดยทั่วไปอยู่แล้วว่า พฤติกรรมดีที่สุดสำหรับสุขภาพหัวใจ คือ การออกกำลังกาย ตั้งแต่ระดับกลางถึงระดับหนัก
แต่ผลการวิจัยใหม่ที่น่าตื่นเต้น คือ ผลของการเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนั่งอยู่นานในเวลากลางวัน แล้วเปลี่ยนพฤติกรรมให้ลดเวลาการนั่งอยู่กับที่เป็นเวลายาวนาน ด้วยการยืน เดิน และการพักด้วยการ “นอน” เป็นเวลาที่สั้นๆ ก็มีผลอย่างเชิงประจักษ์ ที่ตรวจวัดได้ด้วยการทดลองใหม่ครั้งนี้
ในรายงานการวิจัย ยกตัวอย่างกรณีของผู้หญิงอายุ 54 ปี มีค่าเฉลี่ยดัชนีมวลกาย (บีเอ็มไอ) 26.5
พบว่า การเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นเวลา 30 นาที ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงของค่าดัชนีมวลกายลดลง 0.64 หรือลดลง 2.4 เปอร์เซ็นต์
และโดยการแทนที่เวลาที่ใช้ในการนั่งอยู่กับที่เป็นเวลา 30 นาทีต่อวัน ด้วยการออกกำลังกายระดับกลางถึงหนัก มีผลสามารถลดขนาดรอบเอวลงได้ถึง 9.2 เซนติเมตร หรือ 2.7 เปอร์เซ็นต์ และลดค่าเฉลี่ยของน้ำตาลในเลือดหรือ HbA1c ได้ถึง 3.6 เปอร์เซ็นต์
แต่ผลการวิจัยที่น่าตื่นเต้นที่สุด เพราะสามารถนำไปปฏิบัติได้ง่ายๆ (ถ้าทราบ) คือ การแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนั่งอยู่กับที่เป็นเวลายาวนานในเวลากลางวัน ให้ลุกขึ้นจากการนั่ง เปลี่ยนอิริยาบถไปเป็นการเดิน การออกกำลังกาย การเดินขึ้นลงบันได รวมทั้งการนอนพัก เป็นเวลาเพียงสั้นๆ ในแต่ละวัน ก็มีผลดีต่อสุขภาพหัวใจ

แม้แต่การทำงาน คณะวิจัยก็แนะนำให้เปลี่ยนจาก “การนั่งทำงาน” เป็น “การยืนทำงาน” เช่น ใช้โต๊ะยืนทำงานแทนโต๊ะนั่งบ้าง หรือการใช้โทรศัพท์มือถือในระหว่างการทำงาน ก็ให้พยายามลุกขึ้น และเดินไปมาในระหว่างการใช้โทรศัพท์มือถือ ก็ล้วนมีผลเชิงประจักษ์ว่า ดีต่อสุขภาพหัวใจ
อ่านรายงานการวิจัยนี้จบ ผู้เขียนก็นึกเห็นคำเตือนเป็น “ป้าย” ใหญ่ ลอยขึ้นมาในความนึกคิดกับข้อความตัวโตว่า :
“ลุกขึ้น...เพื่อหัวใจ!”
เพราะผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่ใช้เวลาอยู่กับ “การนั่งทำงาน” เป็นเวลาหลายชั่วโมง ของแต่ละวัน ไม่เว้นวันเสาร์-อาทิตย์
แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ คิดว่า ผลการวิจัยนี้ เป็นประโยชน์ต่อท่านบ้างไหมครับ?