2 เรื่องไม่ธรรมดา ของ 2 นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล กับชีวิต Katalin Koriko ผู้ไม่ย่อท้อ และ Moungi G. Bawendy ผู้ที่เคยสอบตก....

รางวัลโนเบลประจำปี พ.ศ.2566 ประกาศผลผู้ได้รับรางวัล ทั้ง 5 สาขา บวกกับรางวัลเศรษฐศาสตร์ เพื่อระลึกถึงอัลเฟรด โนเบล อีกหนึ่งรางวัล ไปเรียบร้อยแล้ว  ระหว่างวันที่ 2 ต.ค.-9 ต.ค. 2566  มีผู้ได้รับรางวัลรวม 11 คน

การได้รับรางวัลโนเบล เป็นเรื่องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว แต่ในทุกปีของการประกาศรางวัล ก็จะมีอยู่เสมอ เรื่องราวที่ "ไม่ธรรมดากว่า" ของผู้ได้รับรางวัลโนเบลบางคน

สำหรับปี พ.ศ.2566 นี้ ก็เช่นกัน และผู้เขียนขอนำเรื่องราวที่ "ไม่ธรรมดากว่า" ของผู้ได้รับรางวัลโนเบล 2 คน มาเล่าสู่ท่านผู้อ่าน

คนหนึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์หญิง ที่ต้องผ่านชีวิต "ไม่ธรรมดา" อย่างแสนสาหัส เป็นเวลายาวนาน กว่าจะถึง "รางวัลโนเบล" 

อีกคนหนึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาย ที่เส้นทางชีวิตไม่สาหัสเท่าคนแรก แต่ก็ผ่านประสบการณ์ที่ "กระตุก" ความมั่นใจอย่างแรง จนเกือบจะไม่ได้เดินบนเส้นทางสู่รางวัลโนเบล

จริงๆ แล้ว ทั้งสองคนไม่ธรรมดา ของเราวันนี้ มีเรี่องราวที่น่าสนใจมากมาย แต่ผู้เขียนขอให้พื้นที่ของเราสำหรับคนแรกมากกว่า เพราะ หนึ่ง : เราไม่มีพื้นที่มากพอสำหรับทั้งสองคน  และ สอง : อย่างสั้นๆ เรื่องของ "เธอ" สาหัสกว่าเรื่องของ "เขา"  

เธอ คือ กอตอลิน กอริโก (Katalin Koriko) นักชีวเคมีอเมริกัน เชื้อสายฮังการี ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ 

...

เขา คือ เมาน์กี จี. บาเวนดี (Moungi G. Bawendy) นักเคมีชาวอเมริกัน- ฝรั่งเศส เชื้อสายตูนิเซีย ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี

เราไปเริ่มเรื่องไม่ธรรมดาของเราวันนี้กับ กอตอลิน กอริโก 

Katalin Koriko
Katalin Koriko

กอตอลิน กอริโก... วันนี้ ! 

กอตอลิน กอริโก วันนี้ (พ.ศ.2566) มีอายุ 68 ปี  เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์หญิงมีชื่อเสียงที่สุดของโลก

  • ได้รับรางวัลและการประกาศเกียรติคุณ ระดับนานาชาติรวมมากกว่า 130 รายการ
  • ได้รับรางวัลโนเบล ประจำปีพ.ศ.2566 สาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ร่วมกับ ดรู ไวส์แมน (Drew Weissman) แพทย์และนักภูมิคุ้มกันวิทยา ชาวอเมริกัน
  • ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลในสาขาการแพทย์ ประจำปี พ.ศ.2564 ร่วมกับ ดรู ไวส์แมน และ ปีเตอร์ คัลลิส (Pieter Cullis) นักฟิสิกส์และนักชีวเคมีชาวแคนาดา
  • รางวัลโนเบลประจำปี พ.ศ.2566 ในสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ และรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในสาขาการแพทย์ประจำปี พ.ศ.2564 ที่ กอตอลิน กอริโก ได้รับ เป็น รางวัลเกี่ยวกับการค้นพบ และพัฒนาวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน และรักษาโรค โควิด-19 ที่เกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลกตั้งแต่ปี พ.ศ.2562
  • ได้รับการประกาศโดยนิตยสาร Time เป็นหนึ่งใน 100 บุคคลมีอิทธิพลมากที่สุดประจำปี พ.ศ.2564 (Time 100-Time 100 Most Influential People of 2021)
  • ได้รับการประกาศโดยนิตยสาร Time เป็น ฮีโร่แห่งปี 2564 (Time-2021 Heroes of The Year) ร่วมกับคนอื่นอีกสามคน สำหรับผลงานเกี่ยวกับวัคซีนโรคระบาดโควิด-19 

แมรี คูรี
แมรี คูรี

กอตอลิน กอริโก กับ แมรี คูรี : เส้นทางวิบากของ แมรี คูรี! 

กอตอลิน กอริโก กับ แมรี คูรี สองนักวิทยาศาสตร์หญิงแกร่งแห่งวงการวิทยาศาสตร์โลก  

เส้นทางสู่การเป็นนักวิทยาศาสตร์อาชีพของ กอตอลิน กอริโก และ แมรี คูรี "สาหัส" แค่ไหน? 

สำหรับ แมรี คูรี คำตอบตรง ๆ ก็ต้องกล่าวว่า "สาหัสมาก" 

  • แมรี คูรี ชอบและเก่งวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่สามารถเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยที่โปแลนด์ ประเทศบ้านเกิดของเธอได้ เพราะเป็น "ผู้หญิง"  
  • แมรี คูรี ต้องแอบเข้าศึกษาใน "Flying University" (มหาวิทยาลัยบิน) หรือ "Floating University" (มหาวิทยาลัยลอย) เป็นมหาวิทยาลัยลับในโปแลนด์ 
  • แมรี คูรี ต้องย้ายไปอยู่ปารีส เพื่อเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยปารีส ปี พ.ศ.2434 ที่รับนักศึกษาหญิงเข้าเรียนวิทยาศาสตร์ได้ แต่ผู้หญิงก็ยังถูกกีดกันในความก้าวหน้าทางวิชาการอยู่ดี 
  • ที่ปารีส แมรี คูรี ต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ กลางวันเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ตอนค่ำรับสอนพิเศษ อาหารหลัก คือ ขนมปังทาเนยและชาร้อน และบ่อย ๆ ก็ไม่ได้รับประทานอาหารอะไรเลย จนกระทั่งเป็นลมในห้องเรียนหลายครั้ง 
  • อากาศที่ปารีสหนาวมาก แมรี คูรี ต้องใช้เสื้อผ้าทั้งหมดที่เธอมี ห่อหุ้มร่างกายสู้ความเหน็บหนาว
  • ที่มหาวิทยาลัย แมรี คูรี ต้องต่อสู้กับการกีดกันผู้หญิง แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ ในการสอบ เพื่อสำเร็จการศึกษาฟิสิกส์ปริญญาโทในปี พ.ศ.2436 เธอสอบได้คะแนนฟิสิกส์สูงสุด และก็ได้ปริญญาโทคณิตศาสตร์ในปีถัดมา
  • จบปริญญาโทฟิสิกส์ และคณิตศาสตร์ แมรี คูรี กลับไปโปแลนด์ เพื่อทำงานและหวังจะศึกษาและวิจัยทางด้านฟิสิกส์ต่อในมหาวิทยาลัยที่โปแลนด์ แต่ผิดหวัง เพราะมหาวิทยาลัยในโปแลนด์ ยังไม่ยอมรับผู้หญิง ประกอบกับเหตุผลสำคัญ ปีแอร์ คูรี อาจารย์ฟิสิกส์ในมหาวิทยาลัยปารีส ผู้ได้พยายามช่วยเธอ ได้ "ขอร้อง" ให้เธอกลับไปศึกษาและทำวิจัยต่อทางฟิสิกส์ในปารีส  เพราะเขามองเห็นแววความเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นยอดของเธอ ....
    อีกทั้ง เขา (นักฟิสิกส์ขี้อาย และพยายามหลบเลี่ยงการคบกับผู้หญิง เพราะเห็นว่า ผู้หญิง เป็นศัตรูกับ ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์) เกิด "รักเธอเข้าแล้ว"
  • แมรี คูรี กลับไปปารีส เข้าศึกษาต่อและทำวิจัยเกี่ยวกับ กัมมันตภาพรังสี จนกระทั่งได้ค้นพบ (ด้วยความยากลำบากแสนสาหัส) ธาตุกัมมันตรังสี โปโลเนียม และ เรเดียม เป็นการค้นพบร่วมกับ ปีแอร์ คูรี หลังการแต่งงานกัน
  • ปี พ.ศ.2446  แมรี คูรี ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ร่วมกับ ปีแอร์ คูรี สำหรับผลงานเกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี เป็นหมุดหมายการเดินทางถึงฝั่ง "ดินแดนแห่งความฝัน" ของ แมรี คูรี

...

นั่นคือ เส้นทางวิทยาศาสตร์อย่างแสนสาหัสของ แมรี คูรี ก่อนกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์หญิงสำคัญของโลก

แล้วเส้นทางสู่ความฝันของ กอตอลิน กอริโก ล่ะ? 

เส้นทางวิบากของ กอตอลิน กอริโก ก่อนถึงวันนี้!

กอตอริน กอริโก เกิดปี พ.ศ.2498 หลังการจากไปของ แมรี คูรี 21 ปี ที่เมืองโซลโนก ประเทศฮังการี เติบโตที่เมืองดิซุยซาลาส ในบ้านหลังเล็กๆ ไม่มีน้ำประปา ไม่มีตู้เย็น ไม่มีโทรทัศน์ คุณพ่อของเธอเป็นคนขายเนื้อ คุณแม่เป็นนักบัญชี 

กอตอลิน ชอบและเก่งวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีววิทยา มาตั้งแต่เด็ก ชีวิตการศึกษาตั้งแต่แรก จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาสูงสุดในประเทศฮังการีของ กอตอลิน ไม่มีปัญหานัก และได้รับปริญญาเอกชีวเคมี ในปี พ.ศ.2525 

หลังได้รับปริญญาเอก กอตอลิน ทำงานเป็นนักวิจัย ที่สถาบันศูนย์การวิจัยชีวเคมีและชีวภาพ หรือ บีอาร์ซี. (BRC : Institute of Biochemistry, Biological Research Centre) ในฮังการี 

...

วิบากชีวิตของ กอตอลิน เริ่มต้นจริงๆ ระหว่างช่วงที่เธอกำลังทำปริญญาเอก และหลังได้รับปริญญาเอก เพราะเธอถูกขึ้นบัญชีเป็น "Intelligence Asset" หรืออย่างตรง ๆ ก็คือ สปายสายลับของ หน่วยตำรวจลับฮังการีคอมมิวนิสต์

จุดผกผันสำคัญสำหรับการตัดสินใจของ กอตอลิน ต่อมา เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2528 เมื่องานวิจัยและห้องแล็บของเธอ ที่ บีอาร์ซี. ถูกตัดงบประมาณ

กอตอริน ตัดสินใจไปแสวงหาลู่ทางสู่การทำงานวิจัยที่เธอรักในประเทศอื่น 

ปี พ.ศ. 2528 กอตอลิน เดินทางจาก ฮังการี ไป สหรัฐอเมริกา เพื่อเริ่มต้นทำงานเป็นนักวิจัยอยู่กับนักชีวเคมี โรเบิร์ต เจ. ซูฮาโคลนิค (Robert J.Solhadonik: พ.ศ.2468-2559) ที่มหาวิทยาลัยเทมเปิล (Temple University) ในฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา 

กอตอลิน เดินทางจากฮังการี ไป สหรัฐอเมริกา กับสามีและลูกสาวอายุสองขวบ โดยมีเงินที่เธอมีอยู่ทั้งหมด 900 ปอนด์สเตอร์ลิง ซ่อนอยู่ในตุ๊กตาหมี

ทุกอย่างดูน่าจะดี กอตอลิน ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันและปัญหาเกี่ยวกับโรคเอดส์ อยู่ที่มหาวิทยาลัยเทมเปิล เป็นเวลาสี่ปี ก็เกิดเรื่องใหญ่เมื่อเธอตอบรับจะไปทำงานประจำอยู่ที่ มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปคินส์ (John Hopkins University) โดยมิได้บอก โรเบิร์ต เจ.ซูฮาโคลนิค ก่อน

โรเบิร์ต เจ.ซูฮาโคลนิค โกรธมากและขู่ว่า ถ้าเธอย้ายไปอยู่ที่มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปคินส์ จริงๆ เขาจะทำให้เธอต้องถูกเนรเทศออกจากสหรัฐฯ ในฐานะลักลอบเข้าทำงานในสหรัฐฯ ซึ่งเขาก็ทำจริง 

...

กอตอลิน ต้องชี้แจงต่อสู้กับทางการสหรัฐฯ เรื่องการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายของเธอ ซึ่งในที่สุด เธอก็ชนะ 

แต่เมื่อเธอได้รับอนุญาตให้อยู่ในสหรัฐฯได้ ทางมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปคินส์ ก็ยกเลิกสัญญาจะรับเธอเข้าทำงาน และเธอก็มีปัญหาหนักในการหางานทำในสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ โรเบิร์ต เจ. ซูฮาโคลนิค ก็ยัง "ไม่หายโกรธ" และบอกกับวงการวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ ว่า อย่ารับเธอเข้าทำงาน 

ทว่า กอตอลิน ก็ไม่ยอมแพ้ และดิ้นรนหางานทำจนได้ และมุ่งมั่นในงานวิจัยเกี่ยวกับ เอ็มอาร์เอ็นเอ 

จนกระทั่งเมื่อ กอตอลิน ได้พบกับ ดรู ไวส์แมน ในปี พ.ศ.2540 ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย 

จากนั้น ดรู ไวส์แมน ก็เป็นทั้งนักวิจัยและผู้สนับสนุน รวมทั้งร่วมงานกับ กอตอลิน ในการวิจัย และพัฒนา วัคซีน ดังเช่น เอ็มอาร์เอ็นเอ. เพื่อป้องกันและรักษาโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน และอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน

โดยความสนับสนุนของดรู ไวส์แมน กอตอลิน ก็เดินหน้าอย่างสะดวกขึ้น แต่ก็ต้องใช้เวลายาวนานกว่าผลงานจะได้รับการยอมรับ เพราะผลงานใหญ่ คือ วัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ. ที่ทั้งสองได้ร่วมกันพัฒนาและนำเสนอ ก็ไม่ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว เพราะ ปัญหาผลข้างเคียง

แต่ในที่สุด หลังการก้มหน้าก้มตาทำการวิจัยและพัฒนาอยู่นานหลายสิบปี ผลงานของ กอตอลิน และ ดรู ไวส์แมน ก็ได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับบทบาทสำคัญในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทั่วโลก

ทั้งหมดนี้ จึงนำมาสู่ "กอตอลิน กอริโก" ...วันนี้ ผู้หญิงแกร่ง ที่เอาชนะอุปสรรค และวิบากกรรมแสนสาหัส พอๆ กับ แมรี คูรี 

ผู้เขียนชอบดูภาพยนตร์เกี่ยวกับ การต่อสู้ชีวิตของบุคคลสำคัญ 

ภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ที่ผู้เขียนชอบมากเป็นพิเศษ และนำมา "เปิดดู" บ่อย คือ Madame Curie ภาพยนตร์ออกฉายปี พ.ศ. 2486 มี เกรียร์ การ์สัน (Greer Garson) รับบทเป็น แมรี คูรี  

สำหรับ กอตอลิน กอริโก ยังไม่มีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่เกี่ยวกับเธอ 

แต่ผู้เขียนเชื่อว่า อีกไม่ช้านานนัก จะมีการนำเอาเรื่องราวชีวิตของเธอ สร้างออกมาเป็นภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ ในระดับเดียวกับ Madame Curie เพราะชีวิตของเธอ สามารถจะนำมาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ชวนติดตาม โดยแทบไม่ต้องแต่งเติมเสริมเรื่องเลย 

Moungi G. Bawendy
Moungi G. Bawendy

                            เมาน์กี จี. บาเวนดี ....วันนี้! 

เมาน์กี จี. บาเวนดี วันนี้ เป็นศาสตราจารย์เคมี ที่ เอ็มไอที. (MIT) อายุ 62 ปี เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีประจำปี พ.ศ.2566 ร่วมกับ ศาสตราจารย์หลุย อี. บรุส (Louis E. Brus) แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นิวยอร์ก และ ศาสตราจารย์ อเล็กซี ไอ. เอคิมอฟ (Aleksey I. Ekimov) แห่งบริษัท Nanocrystals Technology Inc. นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา สำหรับผลงาน "การค้นพบและการสังเคราะห์ควอนตัมดอท ( quantum dot" 

ควอนตัมดอท เป็นผลึกสารกึ่งตัวนำขนาดเล็กมากระดับนาโน ซึ่งทำให้ควอนตัมดอท มีคุณสมบัติพิเศษ ทางด้านแสง และอิเล็กทรอนิกส์ และต้องใช้ ทฤษฎีควอนตัม ในการศึกษาและประยุกต์ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม 

เทคโนโลยีควอนตัมดอทในปัจจุบัน กำลังมีบทบาทอย่างหลากหลายทั้งสาขาและรูปแบบ ตั้งแต่การผลิตเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับผู้บริโภคทั่วไป ดังเช่น หลอดไฟแอลอีดี. (LED) จอภาพคอมพิวเตอร์, โทรทัศน์, เลเซอร์, การถ่ายภาพภายในร่างกายสำหรับศัลยแพทย์ และอีกหลากหลายชนิดที่จะเกิดขึ้น (ตามการแถลงข่าวของคณะกรรมการรางวัลโนเบล สาขาเคมีประจำปี พ.ศ.2566) 

นอกเหนือไปจากรางวัลโนเบลที่เมาน์กี ได้รับตัวเขาเองก็กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านเคมี ที่สำคัญคนหนึ่งของโลก 

เมื่อปี พ.ศ.2553 บริษัททอมสัน รอยเตอร์ (Thomson Reuters) เจ้าของสำนักข่าวรอยเตอร์ ร่วมฉลองปีสากลแห่งเคมี (International Year of Chemistry) โดยเผยแพร่ผลการสำรวจผลงานเด่นในรอบ 11 ปี ( ปี พ.ศ.2543-2553 ) ทางด้านเคมี โดยมี เมาน์กี เป็นหนึ่งใน 100 นักเคมี ที่มีผลงานการวิจัยได้รับการอ้างอิง (citation) มากที่สุดในโลก

ปี พ.ศ.2553 ได้รับการประกาศโดยองค์การสหประชาชาติ เป็นปีสากลแห่งเคมี ในวาระครบรอบ 100 ปี ที่ แมรี คูรี ได้รับรางวัลโนเบลเคมี

นอกเหนือไปจากรางวัลโนเบลเคมี และการเป็นหนึ่งใน 100 นักเคมี มีผลงานได้รับการอ้างอิงมากที่สุดในโลกดังกล่าวแล้ว เมาน์กี  ก็ยังได้รับรางวัลและตำแหน่งสำคัญอีกหลายรางวัล หลายตำแหน่ง สำหรับวงการเคมีในสหรัฐอเมริกา และในโลก 

ที่สำคัญ เขายังนับว่ามีอายุไม่มากนัก และยังมีทั้งพลังและความคิด สำหรับงานการพัฒนาและใช้ประโยชน์ของเคมีสำหรับวงการวิทยาศาสตร์ และมนุษยชาติอีกมาก! 

เมาน์กี จี.บาเวนดี ...ก่อนจะถึงวันนี้ เคยสอบตกวิชาเคมี! 

เมาน์กี จี.บาเวนดี เป็นคนเชื้อสายตูนิเซีย เกิดวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2504 ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส คุณพ่อเป็นนักคณิตศาสตร์ ใช้ชีวิตในวัยเด็กอยู่ในฝรั่งเศส และตูนิเซีย 

อายุ 10 ปี เมาน์กี กับ ครอบครัว อพยพไปอยู่ที่เมืองเวสต์ลาฟาเยตต์ (West Lafayette) รัฐอินเดียนา สหรัฐอเมริกา โดยคุณพ่อของเขาทำงานเป็นนักคณิตศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเพอร์ดู (Perdue University) 

เส้นทางชีวิต สู่ความเป็นนักเคมีของเมาน์กี ไม่สาหัส หรือลำบากเท่าของ กอตอลิน กอริโก หรือ แมรี คูรี เพราะเมาน์กี ชอบและเก่งวิชาวิทยาศาสตร์ มาตั้งแต่เด็ก แล้วก็เรียนจบชั้นมัธยมจากโรงเรียนใน เวสต์ลาฟาเยตต์ เมื่ออายุ 17 ปี อย่างไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นนัก 

จากนั้น ก็เข้าศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จนกระทั่งสำเร็จการศึกษา ได้รับปริญญาเอกเคมี ในปี พ.ศ.2531 แล้วก็สร้างผลงานการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับควอนตัมดอท จนกระทั่งได้รับรางวัลโนเบลในที่สุด

อย่างแน่นอน เส้นทางสู่รางวัลโนเบลของ เมาน์กี ก็ไม่ราบเรียบ และต้องแก้ไขปัญหาต่างๆ ระหว่างทางมากมาย ดังเช่น การสร้างผลงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงใหญ่แก่มนุษย์และโลก แต่เมาน์กี ก็แสดงตนเป็นนักวิทยาศาสตร์แกร่ง ที่ไม่ย่อท้อ หรือตกใจง่ายกับปัญหาที่เกิดขึ้น

ยกเว้น มีเรื่องหนึ่งในเส้นทางชีวิตของ เมาน์กี ที่ตัวเขาเองยอมรับว่า ทำให้เขาต้อง "เสียขวัญ" แทบจะ "ไปต่อไม่เป็น" สำหรับเส้นทางสู่การเป็นนักวิทยาศาสตร์ทีเดียว

เหตุการณ์เกิดขึ้น เมื่อเขาเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เป็นปีแรก ซึ่งเขาก็ไม่คิดว่า จะมีปัญหาอะไร เพราะเขาเป็นคน "เรียนดี" เก่งวิชาวิทยาศาสตร์มาตลอดช่วงการเป็นนักเรียน

แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิด ก็เกิดขึ้น ในการสอบปลายปีวิชาเคมี เขาสอบตก ได้คะแนนเพียง 20 คะแนนจาก 100 เป็นที่โหล่ของชั้น

แล้วเมาน์กี ทำอย่างไร ?

เมาน์กี กล่าวรำลึกถึงเหตุกระตุกขวัญครั้งนั้นว่า เขาก็เสียขวัญไปพักหนึ่ง ถึงกับถามตัวเองว่า "เรากำลังทำอะไรอยู่?" และ "จะไปต่ออย่างไรดี?"....

แล้วเขาก็ฮึดสู้ สำรวจตัวเอง และคิดว่า สาเหตุเกิดจากความประมาทของเขาเอง ที่คิดว่า ตนเองเก่งเคมีอยู่แล้ว จึงไม่ได้เตรียมตัวสอบอย่างจริงจัง 

จากนั้น เขาก็ปรับปรุงตนเองใหม่ ลดความหยิ่งทะนงคิดว่าตนเองเก่ง แล้วก็ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ และก็ทำได้จริง จนกระทั่งได้เป็น นักเคมีเต็มตัว 

คำฝากจาก กอตอลิน กอริโก และ เมาน์กี จี. บาเวนดี! 

จากประสบการณ์ กระตุกขวัญ เมาน์กี จี.บาเวนดี ที่สอบตกวิชาเคมี เมื่อถูกถามว่า เขาอยากจะฝากข้อคิดบอกอะไรกับเด็กรุ่นใหม่บ้าง คำตอบของเขาคือ "ความอดทน" และ "อย่าปล่อยให้การสะดุดทำลายชีวิตของคุณ"  

สำหรับ กอตอลิน กอริโก ที่ความลำบากของชีวิตในสหรัฐอเมริกาส่วนหนึ่ง เกิดจากปัญหาที่ โรเบิร์ต เจ. ซูฮาโคลนิค โกรธ กอตอลิน จนกระทั่งทำให้เธอเกือบถูกเนรเทศกลับฮังการี เธอกล่าวว่า "อย่างไรก็ดี เธอก็ยังระลึกถึง และขอบคุณ โรเบิร์ต เจ. ซูฮาโคลนิค ที่ช่วยให้เธอได้มาเริ่มต้นทำงานวิจัยที่เธออยากทำในสหรัฐอเมริกา และขอบคุณในความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ที่เธอได้รับ จากเขา".... 

สำหรับผู้เขียน ก็ขอยกนิ้วให้กับข้อคิดของ เมาน์กี จี. บาเวนดี ที่ผู้เขียนเห็นด้วย หนึ่งพันเปอร์เซ็นต์ ... 

และขอชื่นชมในความคิด ขอ กอตอลิน กอริโก ที่แสดงถึงการรำลึกถึงผู้มีคุณ ถึงแม้จะเคยทำให้ชีวิตของเธอต้อง "ลำบาก" ไปพักใหญ่ 

แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ คิดอย่างไร ?