ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ “ภควัทคีตา” ซึ่งเป็นเรื่องราวส่วนหนึ่งของมหากาพย์ “มหาภารตะ” 

เมื่ออรชุนยืนอยู่บนรถม้าศึกในสนามรบทุ่งกุรุเกษตร มีพระกฤษณะเป็นสารถี แล้วเกิดความสังเวชใจกับการต้องทำศึกกับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งล้วนเป็นวงศาคณาญาติ อาจารย์และมิตรสหาย

พระกฤษณะจึงกล่าวคำปลุกเร้า ให้อรชุนตระหนักถึงหน้าที่ และแสดงตัวตนที่แท้จริง เป็นพระวิษณุ หรือ พระนารายณ์สิบกร เปล่งรัศมีรอบกาย แล้วกล่าวถ้อยคำตามพากย์ภาษาอังกฤษว่า “Now I am death, the destroyer of worlds” หรือในพากย์ภาษาไทยว่า “บัดนี้ ข้าคือความตาย ผู้ทำลายโลก”

ในภาพยนตร์ “ออปเพนไฮเมอร์” (Oppenheimer) ออกฉายวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2566  เจ. โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ (รับบทโดย คิลเลียน เมอร์ฟี) กล่าวถ้อยคำนี้สองครั้ง

ครั้งหนึ่งในขณะมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนสาว จีน แทตล็อกค์ (Jean Tatlock) แล้วเธอเห็นหนังสือภควัทคีตาฉบับภาษาสันสกฤต จึงขอให้ออปเพนไฮเมอร์ (ผู้อ่านภาษาสันสกฤตออก) แปลให้เธอฟัง

ครั้งที่สอง ขณะที่ออปเพนไฮเมอร์กำลังตะลึงมองเข้าไปในลูกไฟดอกเห็ดนิวเคลียร์ จากการทดลองระเบิดอะตอม หรือระเบิดปรมาณู ครั้งแรกที่ปฏิบัติการ “ทรินิตี” (Trinity)

“เชื่อ คิดและทำ อย่างวิทยาศาสตร์” วันนี้ขอนำท่านผู้อ่าน ไปสัมผัสกับเรื่องราวบางส่วนของนักวิทยาศาสตร์ ผู้ได้ชื่อเป็น “บิดาแห่งระเบิดอะตอม” ทั้งในส่วนเป็นชีวิตจริง และที่ปรากฏในภาพยนตร์ โดยใช้ปฏิบัติการ “ทรินิตี” เป็นหมุดหมายแบ่งการเล่าเรื่อง เป็นช่วงก่อนและหลัง “ทรินิตี” 

...

สำหรับลำดับเรื่องราวโดยค่อนข้างละเอียดของการสร้างระเบิดอะตอมลูกแรกของโลก ผู้เขียนได้เขียนเป็นบทละครวิทยุ ในรายการ “วิทยาศาสตร์และท่าน” ชุด “ปัทมา-ธาตรี” ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดขอนแก่น เมื่อปี พ.ศ. 2516 ต่อมา ปรับปรุงลงตีพิมพ์ในวารสาร ทักษะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่ฉบับที่ 10 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2522 ถึงฉบับที่ 34 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2525 และสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช (ทวพ.) ได้ตีพิมพ์รวมเป็นเล่มชื่อ “ATOM เพื่อนรัก” โดย “ชัยคุปต์” ตีพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2527

จาก “อเมริกันโพรมีเทียส” ถึงภาพยนตร์ “ออปเพนไฮเมอร์” 

คริสโตเฟอร์ โนแลน ร่วมสร้าง เขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่อง “ออปเพนไฮเมอร์” จากหนังสือชีวประวัติของ เจ. โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ ชื่อ “American Prometheus” โดย ไค เบิร์ด และ มาร์ติน เจ. เชอร์วิน ตีพิมพ์ปี พ.ศ. 2548

โพรมีเทียส เป็นเทพไททันผู้ขโมยไฟจากเขาโอลิมปัสไปให้มนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ได้มีแสงสว่างและใช้ไฟในการปรุงอาหารและอื่นๆ

แต่การกระทำของโพรมีเทียส ทำให้เทพซูส (ZEUS) โกรธ เพราะเมื่อมนุษย์มีไฟ มนุษย์ก็เกรงกลัวและนับถือพระเจ้าน้อยลง ซูสจึงจับโพรมีเทียสไปล่ามโซ่ แล้วให้นกอินทรีจิกกินตับทุกวัน โดยโพรมีเทียสไม่ตาย เพราะตับจะงอกใหม่ทุกวัน ทำให้โพรมีเทียสต้องทนทุกข์ทุกวันอยู่นานหลายปี จนกระทั่งเฮอร์คิวลิส มาช่วยปลดปล่อยโดยฆ่านกอินทรี

ส่วนมนุษย์ก็มีไฟครอบครองอย่างสมบูรณ์และไฟก็ทำให้อารยธรรมของมนุษย์เกิดขึ้นได้ แต่ไฟก็ถูกมนุษย์ใช้ในการเผาทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเองอีกด้วย

ทำไมออปเพนไฮเมอร์ จึงถูกเปรียบเทียบเป็น “อเมริกันโพรมีเทียส ?”

ก็เพราะว่า ออปเพนไฮเมอร์ เป็นนักฟิสิกส์อเมริกัน (เชื้อสายยิว) และก่อนระเบิดนิวเคลียร์ ถึงแม้มนุษย์จะมีระเบิดหลากหลายชนิดแต่ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นระเบิดเคมี ระเบิดชีวภาพ ปืนใหญ่ ก็ไม่มีอานุภาพถึงขั้นจะ “ล้างโลก” ได้

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 กับปฏิบัติการ “ทรินิตี” ในทะเลทรายนิวเม็กซิโก ระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลกที่มีชื่ออย่างธรรมดาที่สุดว่า “Gadget” แปลได้เป็น “เครื่อง” หรือ “ของ”

แต่เจ้า Gadget นี้เอง เป็นจุดเริ่มต้นของ “ระเบิดล้างโลก” ได้จริงๆ

หลังปฏิบัติการทรินิตี และเหตุโศกนาฏกรรมนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ บรรดาอาวุธที่มีอยู่ทั้งโลก ก็ถูกแบ่งเป็นสองชนิดเท่านั้น คือ หนึ่ง : อาวุธนิวเคลียร์ และสอง : อาวุธตามแบบ (Conventional Weapon) หรืออาวุธที่มิใช่แบบนิวเคลียร์

...

แล้วใครล่ะ ทำให้อาวุธนิวเคลียร์เกิดขึ้นได้?

อย่างแน่นอน โครงการ “แมนฮัตตัน” เพื่อสร้างระเบิดนิวเคลียร์ เป็นโครงการขนาดยักษ์ มีคนร่วมทำงานประมาณหนึ่งแสนสามหมื่น ใช้งบประมาณประมาณเกือบสองหมื่นสี่พันล้านดอลลาร์

แต่ความจริงก็คือ โครงการแมนฮัตตันประสบความสำเร็จได้ ก็เพราะฝีมือการเป็นหัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ ชื่อ เจ. โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์

ออปเพนไฮเมอร์ เกิดปี พ.ศ. 2447 จากโลกไปปี พ.ศ. 2510 หนังสือ “American Prometheus”  ตีพิมพ์หลังการจากไปของออปเพนไฮเมอร์เป็นเวลา 38 ปี

ไค เบิร์ด และมาร์ติน เจ. เชอร์วิน ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เป็น (สอง) คนแรกที่เรียกออปเพนไฮเมอร์เป็น “อเมริกันโพรมีเทียส” 

ถ้าออปเพนไฮเมอร์ยังมีชีวิตอยู่ถึงวันเปิดตัวหนังสือ เขาจะรู้สึกอย่างไรกับ “สมญา” นี้?

อย่างแน่นอน เราไม่มีโอกาสจะทราบจากปากโดยตรงของออปเพนไฮเมอร์ได้แล้วว่า เขารู้สึกอย่างไร?

...

แต่เรา...ท่านผู้อ่านและผู้เขียน...มาลอง “คิด” ดูว่า ออปเพนไฮเมอร์ “น่าจะ” รู้สึกอย่างไร หลังจากที่ไป “ส่อง” ดูเรื่องราวบางส่วนของออปเพนไฮเมอร์ ตัวตนของเขา ตั้งแต่วัยเด็ก ถึงกำเนิดของระเบิดนิวเคลียร์กับ “ทรินิตี” และหลัง “ทรินิตี” ถึงวันที่เขาจากโลกไป

ออปเพนไฮเมอร์กับแอปเปิลฉีดยาพิษ!

จริงหรือไม่ ออปเพนไฮเมอร์ พยายามวางยาพิษอาจารย์ฟิสิกส์ด้วยผลแอปเปิลฉีดยาพิษ?

ออปเพนไฮเมอร์ แสดงแววสนใจวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ชอบการทดลองวิทยาศาสตร์

ในภาพยนตร์ มีฉากออปเพนไฮเมอร์ ในวัย 22 ปี ขณะเป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ

ออปเพนไฮเมอร์ มีปัญหากับการทดลองฟิสิกส์กับอาจารย์นักฟิสิกส์ แพทริก แบร็กเกตต์ (Patrick Brackett) ผู้ซึ่งต่อมา ก็เป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ได้รับรางวัลโนเบล

...

วันนั้น มีการบรรยายพิเศษโดย นีลส์ โบร์ นักฟิสิกส์มีชื่อจากประเทศเดนมาร์ก อาจารย์แบร็กเกตต์สั่งให้ ออปเพนไฮเมอร์เก็บอุปกรณ์เครื่องมือทดลองฟิสิกส์

ออปเพนไฮเมอร์แอบฉีดยาพิษใส่แอปเปิล แล้ววางอยู่บนโต๊ะในห้องทดลอง

ต่อมา นีลส์ โบร์ กับ แบร็กเกตต์ กลับมาที่ห้องทดลอง นีลส์ โบร์ หยิบผลแอปเปิลขึ้นจะกัดกิน แต่ออปเพนไฮเมอร์แย่งมาทิ้ง อ้างว่า เห็นอะไรบางอย่างบนแอปเปิล

แล้วฉากภาพยนตร์นั้น เกิดขึ้นจริงหรือไม่?

จากข้อมูลหลักฐานที่ผู้เขียนหนังสือ “American Prometheus” มีอยู่ สรุปได้ว่า เป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดดังในภาพยนตร์

มีจดหมายที่ออปเพนไฮเมอร์เขียนถึงเพื่อนนักศึกษาว่า เขาได้พยายามวางยาพิษอาจารย์ฟิสิกส์จริง แต่มิได้ระบุชัดเจนว่า เป็นยาพิษแบบไหน ร้ายแรงหรือไม่ ใช่ไซยาไนด์หรือไม่

แต่ที่มิได้เกิดขึ้นจริงดังในภาพยนตร์ คือ นีลส์ โบร์ มิได้มาที่ห้องทดลอง หยิบแอปเปิลขึ้นมาจะกัดกิน และ ออปเพนไฮเมอร์มิได้แย่งแอปเปิลจากนีลส์ โบร์

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดขึ้นจริง คือ ในที่สุด ก็ไม่มีใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แพทริก แบร็กเกตต์ ได้รับอันตรายจากแอปเปิลพิษ...

แต่มหาวิทยาลัยก็ไต่สวนเรื่องนี้ และออปเพนไฮเมอร์ โชคดีที่ไม่ถูกดำเนินคดีลอบวางยาพิษ แต่ก็ถูกพักเรียน ก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากอังกฤษ ไปศึกษาต่อฟิสิกส์ในเยอรมนี จนกระทั่งสำเร็จปริญญาเอกฟิสิกส์ทฤษฎี

แล้วคริสโตเฟอร์ โนแลนด์ ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดหรือไม่? และจริงๆ แล้ว หลานชายของออปเพนไฮเมอร์ก็ได้ขอร้องคริสโตเฟอร์ โนแลน ให้ตัดฉากนี้ออก เพราะไม่มีหลักฐานจริงๆ ว่า ออปเพนไฮเมอร์เคยพยายามฆ่าใคร ทำไม คริสโตเฟอร์ โนแลน จึงยังเก็บฉากนี้ในภาพยนตร์?

คริสโตเฟอร์ โนแลน ไม่ตอบตรงๆ แต่ก็คาดกันได้ว่า เขาทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับออปเพนไฮเมอร์อย่างละเอียดระกว่างการเขียนบท และตัดสินใจเก็บฉากนี้ไว้ เพราะมีข้อเท็จจริงเรื่องของแอปเปิลยาพิษอยู่บ้าง แต่ก็จงใจใส่ฉากให้มี นีลส์ โบร์ อยู่ด้วย ถึงแม้จะเป็นส่วน “ดราม่า” ที่มิได้เกิดขึ้นจริง

ส่วนคำร้องขอของหลานชายออปเพนฮเมอร์ ก็ชัดเจนว่า คริสโตเฟอร์ โนแลน ยอมขัดใจผู้ร้องขอ!

ออปเพนไฮเมอร์กับโครงการแมนฮัตตัน

จากจดหมายลงนามโดย ไอน์สไตน์ วันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2482 ถึงประธานาธิบดี แฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ โครงการแมนฮัตตัน เพื่อสร้างระเบิดนิวเคลียร์ หรือระเบิดอะตอมลูกแรกของโลก จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2485

นายพล เลสลี โกรฟส์ (General Leslie Groves) รับบทใน-ภาพยนตร์โดย แมตต์ เดมอน ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าโครงการลับสุดยอดนี้

เขาต้องการนักวิทยาศาสตร์สักคนที่จะมาเป็นหัวหน้าฝ่ายนักวิทยาศาสตร์ แล้วเขาก็เลือก ออปเพนไฮเมอร์

ออปเพนไฮเมอร์ ก็รับเพราะเขาชอบงานท้าทาย และที่สำคัญ เขามีเชื้อสายยิว จึงมุ่งมั่นจะสร้างระเบิดนิวเคลียร์ให้ได้ก่อนเยอรมันนาซี ที่ก็กำลังมีโครงการสร้างระเบิดอะตอมเช่นกัน

จริงๆ แล้ว ก็เพราะข่าวที่เล็ดลอดออกมาว่าเยอรมันนาซีกำลังมีโครงการสร้างระเบิดอะตอม ทำให้โครงการ แมนฮัตตันเกิดขึ้น

ที่สำคัญ ต่อมาก็เป็นที่ทราบกันในวงการที่เกี่ยวข้องว่า หัวหน้าโครงการสร้างระเบิดอะตอมของเยอรมนี คือ เวิร์นเนอร์ ไฮเซนเบิร์ก (Werner Heizenberg)

ทำไมนายพลโกรฟส์ จึงเลือกออปเพนไฮเมอร์เป็นหัวหน้าทีมนักวิยาศาสตร์สำหรับโครงการแมนฮัตตัน เพราะถ้าเปรียบเทียบกับไฮเซนเบิร์กแล้ว ออปเพนไฮเมอร์ก็ด้อยกว่าหลายขุม?

ไฮเซนเบิร์ก เป็นนักฟิสิกส์ชื่อดังที่สุดคนหนึ่งของโลก เป็นผู้ตั้งหลักความไม่แน่นอน (The uncertainty principle) ของทฤษฎีควอนตัม และได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ตั้งแต่อายุเพียง 31 ปี

ส่วนออปเพนไฮเมอร์ ยังไม่เคยได้รับรางวัลโนเบล (และไม่เคยได้รับรางวัลโนเบลเลยตลอดชั่วชีวิต) แถมยังมีประวัติไม่ดีนักในการทำงานร่วมกับคนอื่น

อีกทั้งออปเพนไฮเมอร์ มีประวัติและถูกสงสัยว่า ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์รัสเซีย เพราะภรรยาของเขาและน้องชายของเขา เคยเป็น (และถูกสงสัยว่า กำลังเป็น) สมาชิกคอมมิวนิสต์ ในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งจีน แทตล็อกต์ เพื่อนผู้หญิงของเขา ก็เป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งทำให้เขาถูกติดตาม สืบสวนทั้งฝ่ายความมั่นคงและเอฟบีไอ (FBI) อย่างยาวนาน

แล้วยังมีข้อด้อยอีกอย่างหนึ่งของออปเพนไฮเมอร์ คือ เขาเป็นคนเก่งฟิสิกส์ทางด้านทฤษฎี แต่ซุ่มซ่ามมากในห้องทดลอง ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับงานที่จะต้อง “สร้าง” สิ่งไม่เคยเกิดขึ้นได้มาก่อนในห้องทดลอง

สิ่งที่นายพลโกรฟส์เห็นในตัวของออปเพนไฮเมอร์ สำหรับโครงการแมนฮัตตัน คือ ความเป็นคนกล้าคิดกล้าทำในสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ และถึงแม้จะทำงานร่วมกับคนอื่นๆ ไม่ดีนัก แต่ถ้าทำงานในฐานะเป็นหัวหน้าทีมแล้ว ออปเพนไฮเมอร์ก็กลายเป็นผู้นำทีมที่ยอดเยี่ยมสำหรับงานที่ยาก...หรือดูเป็นไปไม่ได้

ในที่สุด นายพลโกรฟส์จึงตัดสินใจเลือกออปเพนไฮเมอร์!

ออปเพนไฮเมอร์ เข้าร่วมโครงการแมนฮัตตันในปี พ.ศ. 2485 ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการให้เป็นหัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ในปี พ.ศ. 2486 ขณะมีอายุ 42 ปี

และออปเพนไฮเมอร์ก็ไม่ทำให้นายพลโกรฟส์ผิดหวัง !

ออปเพนไฮเมอร์ต้องรับภาระงานหนัก...น่าจะหนักที่สุดในประวัติวิทยาศาสตร์...เพราะต้องทำงานกับนักฟิสิกส์ชั้นยอดของโลกจำนวนมาก

บรรยากาศการทำงานของทีมนักวิทยาศาสตร์ภายใต้การนำของออปเพนไฮเมอร์ โดยภาพรวมก็ไม่ราบรื่นไปเสียทั้งหมด เพราะวิสัยของนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ยอม “ลง” หรือ “รับคำสั่ง” ใครง่ายๆ มีความเห็นไม่ตรงกันบ่อย ระหว่าง ออปเพนไฮเมอร์กับเหล่าบรรดานักวิทยาศาสตร์ แต่นายพลโกรฟส์ เลือกคนถูก...

เพราะในที่สุด ออปเพนไฮเมอร์ก็สามารถนำทีมนักวิทยาศาสตร์ สร้างระเบิดอะตอมได้สำเร็จ และปฏิบัติการ “ทรินิตี” จึงเกิดขึ้น และลูกไฟดอกเห็ดนิวเคลียร์จึงเกิดขึ้นครั้งแรกในโลก!

ออปเพนไฮเมอร์ หลังปฏิบัติการ “ทรินิตี”

ภาพยนตร์ออปเพนไฮเมอร์ยาว 3 ชั่วโมง

สองชั่วโมงแรกเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับออปเพนไฮเมอร์ตั้งแต่ช่วงเป็นนักศึกษา จนกระทั่งถึงปฏิบัติการทรินิตี

หลังปฏิบัติการทรินิตี และการประกาศผลยอมแพ้ของญี่ปุ่น หลังฮิโรชิมาและนางาซากิ ถูกถล่มด้วยระเบิดอะตอมวันที่ 6 และ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2548 ตามลำดับ โครงการแมนฮัตตันก็ไม่เป็นโครงการลับอีกต่อไป

ออปเพนไฮเมอร์กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ดังที่สุดของโลก ได้รับการยกย่องเรียกเป็น “บิดาแห่งระเบิดอะตอม” ได้ขึ้นปกนิตยสาร “TIME” และ “LIFE” ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการศึกษาชั้นสูง (Institute For Advanced Study) ที่พรินซ์ตัน ซึ่งไอน์สไตน์ประจำอยู่ และเป็นประธานคณะที่ปรึกษาของสำนักงานพลังงานอะตอมสหรัฐฯ (U.S. AEC : U.S. Atomic Energy Commission)

แต่ความโด่งดังของออปเพนไฮเมอร์หลังความสำเร็จในการสร้างระเบิดอะตอม ก็เหมือนพลุขึ้นเร็ว และก็ “ตก” ค่อนข้างเร็ว

สาเหตุการตกต่ำของออปเพนไฮเมอร์ ส่วนหนึ่งมาจากอุปนิสัยของเขาที่เข้ากับคนทั่วไป แม้แต่คนร่วมงานที่สำคัญไม่ดีนัก ทำให้คนอื่นๆ ไม่เข้าใจ...เลยไม่ชอบออปเพนไฮเมอร์ และก็เป็นสาเหตุใหญ่ทำให้เขาถูกตั้งคณะกรรมการไต่สวนความจงรักภักดีต่อประเทศ (สหรัฐอเมริกา) โดยลูอิส สเตราส์ (LEWIS STRAUSS) ผู้มีบทบาทสำคัญในโครงการ แมนฮัตตัน และเป็นผู้แต่งตั้งให้ออปเพนไฮเมอร์มีตำแหน่งในสถาบันการศึกษาชั้นสูงและสำนักงานพลังงานอะตอมสหรัฐฯ

ในภาพยนตร์ สเตราส์ รับบทโดยโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ มีบทบาทสำคัญในส่วนที่สองของภาพยนตร์ คริสโตเฟอร์ โนแลน จับให้เป็น “ผู้ร้าย” ในภาพยนตร์ ซึ่งก็ไม่ผิดนัก แต่เหตุผลที่แสดงในภาพยนตร์ อาจไม่ถูกต้องทั้งหมด

ในภาพยนตร์ สเตราส์ คิดว่า ออปเพนไฮเมอร์ ได้พูดอะไรบางอย่างกับไอน์สไตน์เกี่ยวกับเขา ทำให้ไอน์สไตน์ “เมิน” เขา

หลังการไต่สวน ผลสรุปออกมาว่า ออปเพนไฮเมอร์ไม่มีปัญหาเรื่องความจงรักดีต่อประเทศ แต่มีปัญหาในเรื่องความเกี่ยวพันกับคอมมิวนิสต์อเมริกันหลายคน

เสตราส์ ในฐานะประธานสำนักงานพลังงานอะตอมสหรัฐฯ จึงยกเลิกสิทธิการเข้าถึงข้อมูลมีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศของออปเพนไฮเมอร์ หมายความว่า เขาต้องออกและไม่สามารถทำงานราชการ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศทั้งหมด

ออปเพนไฮเมอร์ จึงเหลือตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาชั้นสูง จากปี พ.ศ. 2490 ถึง พ.ศ. 2509 แล้วก็งานการสอนการบรรยายพิเศษเป็นหลัก ก่อนที่เขาจะจากโลกไปในปี พ.ศ. 2510 ขณะมีอายุ 63 ปี

แต่อีกสาเหตุหนึ่งที่ผู้เขียนเชื่อว่า เป็นสาเหตุทำให้ออปเพนไฮเมอร์เปลี่ยนไปอย่างมาก และทำให้ชีวิตของเขา เปลี่ยนฉากชีวิตช่วงสุดท้าย ปิดฉากลงอย่าง “เงียบๆ” ถึงแม้จะได้รับรางวัล เอนริโก แฟร์มิ (Enrico Fermi Award) เป็นรางวัลปลอบใจในปี พ.ศ. 2506...

ที่สำคัญ ผู้เขียนเชื่อว่า ออปเพนไฮเมอร์ มิได้จากโลกไปอย่าง “นอนตายตาหลับ”

เพราะ “บัดนี้ ข้าคือความตาย ผู้ทำลายโลก!”

ผู้เขียนขอทำตัวเป็นนักวิเคราะห์จิตสำนึกของออปเพนไฮเมอร์

ผู้เขียนนึกถึงขณะที่ออปเพนไฮเมอร์เห็นลูกไฟดอกเห็ดนิวเคลียร์จากปฏิบัติการทรินิตี แล้วถ้าผู้เขียนเป็น ออปเพนไฮเมอร์ จะรู้สึกตัวเย็นเฉียบ ตะลึง และก็จะนึกถึงคำกล่าวของพระวิษณุที่ปรากฏกายต่อหน้าอรชุนว่า “บัดนี้ ข้าคือความตาย ผู้ทำลายโลก” เช่นเดียวกับออปเพนไฮเมอร์

หลังได้เห็นฤทธิ์เดชของระเบิดอะตอม ออปเพนไฮเมอร์ก็เปลี่ยนไป

เขากลายเป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก รวมทั้งไอน์สไตน์ด้วย คัดค้านการแพร่ขยายการสร้างและสะสมอาวุธนิวเคลียร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างระเบิดไฮโดรเจน

ในภาพยนตร์ มีฉากออปเพนไฮเมอร์ พบกับประธานาธิบดี แฮร์รี เอส. ทรูแมน (รับบทโดย แกรี โอลด์แมน) ออปเพนไฮเมอร์แสดงความไม่สบายใจที่เป็นผู้รับผิดชอบทำให้ระเบิดอะตอมเกิดขึ้น และคัดค้านการสร้างระเบิดไฮโดรเจน ทำให้ประธานาธิบดีกล่าวไล่หลังออปเพนไฮเมอร์กับผู้เปิดและปิดประตูให้ออปเพนไฮเมอร์ว่า “อย่าให้คนขี้แยคนนี้มาพบผมอีก”

ในฉากสุดท้ายของภาพยนตร์ เป็นฉากซูมให้เห็นโลกในอวกาศ ที่กำลังถูกไฟนิวเคลียร์เผาโลกไปทีละประเทศ

เป็นฉากที่แสดงว่า คริสโตเฟอร์ โนแลน ก็เห็นด้วยกับออปเพนไฮเมอร์

แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ คิดอย่างไร?

ภาพ : AFP และ ภาพยนตร์ Oppenheimer