รัสเซียกำลังพลิกเกมอะไรบางอย่าง ภายหลังถอนกำลังทหาร 2 ใน 3 ออกจากพื้นที่รอบกรุงเคียฟ และคืนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลให้ยูเครน ก่อนกลับไปยังดินแดนเบลารุส คาดมีแผนกระจายกำลังเข้าไปยังพื้นที่อื่นในยูเครน ทำให้การสู้รบจะยังคงยืดเยื้อยาวนานต่อไปอีก

ขณะที่ โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน กล่าวหารัสเซียก่ออาชญากรรมสงครามที่เลวร้ายที่สุด มีพลเรือนยูเครนกว่า 300 ราย ถูกสังหารและทารุณในเมืองบูชา และเหยื่อถูกสังหารในเมืองโบโรเดียนกา และอาจมากกว่านี้ จนต้องออกมาเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ขับรัสเซียออกจากคณะมนตรีความมั่นคงฯ และให้ประเทศตะวันตกเพิ่มการคว่ำบาตรรัสเซีย

...

ฟากรัสเซีย ออกมาตอบโต้ทันทีว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ยืนยันไม่เคยมีเป้าหมายสังหารพลเรือนในยูเครน รวมถึงในเมืองบูชา ซึ่งคำกล่าวหาล้วนเป็นคำโกหกทั้งสิ้น เป็นการจัดฉากของยูเครน เพื่อทำลายภาพลักษณ์ทหารรัสเซีย เพราะเป็นช่วงเวลาที่ทหารรัสเซียได้ออกจากเมืองบูชา ทางเหนือของยูเครนไปแล้ว

อีกประเด็นที่น่าจับตามองเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติ ซึ่งประเทศในยุโรปพึ่งพิงจากรัสเซียราว 40% ของปริมาณที่ใช้ทั้งหมดในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี แม้มีมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย แต่ไม่ระงับการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย รวมถึงสหรัฐฯ กลับนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียเพิ่มขึ้น 43% หรือ 100,000 บาร์เรลต่อวัน ในราคาที่ถูกลง ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และส่งขายยุโรป

ทำให้สหรัฐฯ ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากฟากนักวิชาการรัสเซียว่า กำลังแสวงหาผลประโยชน์จากวิกฤติสงครามรัสเซีย-ยูเครน กลายเป็นว่าสิ่งที่สหรัฐฯ โน้มน้าวประเทศพันธมิตรให้คว่ำบาตรรัสเซีย และมีความพยายามจะให้หลายประเทศดำเนินตาม อาจเป็นแค่ฉากหน้าในการต่อต้านรัสเซียในเชิงค่านิยมของแนวคิดเสรีนิยมเท่านั้น

นอกจากนี้การที่ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศห้ามไม่ให้อินเดีย ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย โดยชำระเป็นเงินรูเบิล มิเช่นนั้นจะพังเศรษฐกิจของอินเดียในไม่ช้า และยังห้ามจีนขยับ หรือดำเนินการใดๆ ที่ยกค่าเงินหยวนแทนเงินดอลลาร์อีกด้วย แต่ไม่มีคำตอบทั้งจากอินเดียและจีน

"น.อ.สัมฤทธิ์ ทองอินทร์" ผู้เขียนหนังสือสงครามโลกครั้งที่ 3 และติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มองว่า เป็นการอาละวาดของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังพุ่งเป้าใส่จีนและอินเดียอย่างเต็มที่ โดย 2 ประเทศนี้มีประชากรรวมกันมากกว่า 2,200 ล้านคน คำถามคือสหรัฐฯ กล้าตอบโต้บอยคอตทั้งจีนและอินเดีย เช่นเดียวกับที่ทำกับรัสเซียหรือไม่

...

คำตอบคือกล้า แต่อาจจะไม่หนักเท่ารัสเซีย เพราะทั้งจีนและอินเดียต่างพึ่งตนเองได้ และเป็นผู้บริโภคสินค้าของกันและกันมานานแล้ว ก่อนหน้านี้ 2 ประเทศใกล้ชิดกันมากด้านเศรษฐกิจ และเริ่มบาดหมาง เพราะสหรัฐฯ พยายามดึงอินเดียออกจากจีนในระยะ 3 ปี แต่ยังไม่สำเร็จ และอาจจะสำเร็จหากไม่เกิดสงครามรัสเซียกับยูเครน

“ทั่วโลกต่างประสบปัญหาด้านพลังงาน จนวันนี้เรียกว่าเดือดร้อนกันมาก ยุโรปจลาจล ศรีลังกาก็จลาจล เงินเฟ้อทั่วโลก มีมูลเหตุมาจากการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ และนาโต โดยมียูเครนเป็นเบี้ย ถึงวันนี้สหรัฐฯ กำลังเมามัน เพราะเป็นโอกาสทองที่จะล้มรัสเซียพ่วงจีนต่อไป”

การบาดหมาง การตอบโต้ จะยังดำเนินต่อไปไม่มีวันจบ เพราะเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ครั้งนี้รบจริง มีการจองล้างจองผลาญกันจริง และที่สำคัญทั้งสองฝ่ายหวังชัยชนะ เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี จากที่มหาอำนาจทั้งหมดออกหน้าชนกันโดยตรง ถึงขั้นผู้นำและนักการทหารออกหน้า และในครั้งนี้พิเศษตรงที่ทั้งยุโรปและสหรัฐฯ กำลังปะทะกับทวีปเอเชีย ถือเป็นครั้งแรกที่หลายประเทศแถบตะวันออกกลางเริ่มทิ้งยุโรปและสหรัฐฯ เห็นได้จากการปฏิเสธสหรัฐฯ และหลายประเทศของนาโต ในเรื่องน้ำมัน

...

ในการเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครน ต่างยกเงื่อนไขที่ต่างฝ่ายต่างทำตามได้ยากขึ้น นำมาต่อรอง และยูเครนฮึกเหิมที่นาโตและสหรัฐฯ ช่วยเต็มที่เป็นครั้งแรกในรอบพันปี ตามที่ผู้นำยูเครนกล่าวสุนทรพจน์ต่อสมาชิกรัฐสภาหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งยังไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน

ส่วนการถอนทหารบางจุดของรัสเซียจากยูเครน ดูเหมือนจะน่าสนใจ แต่หลังจากสลับหน่วยทหารได้เล็กน้อย รัสเซียกลับเพิ่มการยิงจรวดระยะไกลมากขึ้น คล้ายสงครามที่ซีเรีย ซึ่งรัสเซียหนุนหลัง และเปิดช่องให้ยูเครนส่งฝูงบิน บินเข้าประเทศรัสเซีย มาโจมตีคลังน้ำมันขนาดใหญ่ของรัสเซียได้สำเร็จ จนรัฐบาลของปูตินเดือดทันควัน ทำให้การเจรจาสะดุดทันที และสะใจสหรัฐฯ เป็นที่สุด

สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน จะยังคงดำเนินต่อไป พร้อมขยายสู่ส่วนอื่นๆ ของโลก และประชากรโลกจะเครียดต่อค่าครองชีพที่ผันผวน แก้ไขได้ลำบากต่อไป จะส่งผลให้เกิดเรื่องต่างๆ ต่อไปนี้ ภายใน 6 เดือน

1.สหรัฐฯ และนาโต จะไม่มีวันคืนดีกับรัสเซียได้ดั่งเดิม จนกว่ารัสเซียจะเปลี่ยนผู้นำ

2.การทหารมีการเผชิญหน้า 2 จุดสำคัญ ในทะเลจีนใต้และตะวันออกกลาง จะรุนแรงขึ้น เพราะสองฝ่ายจะแย่งกันมีอิทธิพลให้เบ็ดเสร็จ

...

3.ค่าเงินของทุกประเทศทั่วโลก จะยังผันผวนต่อไป เพราะผลจากการจัดสัดส่วนน้ำมันไม่ลงตัว และปัจจัยด้านเศรษฐกิจอื่นๆ ไม่แน่นอน

4.ประเทศเล็กและขนาดกลางที่ยังไม่เลือกข้าง จะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น และบางประเทศจะถูกบีบอย่างหนัก อาจทำให้อาเซียนแตกหัก

5.จีนและรัสเซีย พร้อมตอบโต้สหรัฐฯ และพันธมิตร ทันทีหากยังไม่หยุดกดดัน เพราะความอดทนย่อมมีขีดจำกัด

6.เอเชียจะแกร่งมากขึ้น เพราะจีนจับมือกับอินเดีย หาก 2 ประเทศจัดการซ้อมรบ และเชิญหลายประเทศแถบตะวันออกกลางร่วมสังเกตการณ์ จะทำให้สหรัฐฯ และพันธมิตรทั่วโลกกระอัก ในข้อนี้ให้น้ำหนักแค่ 20%

7.สินค้าบางประเภทจากหลายประเทศทั่วโลก จะมีทั้งขายดีและขาดแคลน

8.สถานการณ์จะทำให้บางประเทศต้องทุ่มงบพัฒนาอาวุธและกองทัพ ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจ

9.จะมีบางประเทศฉวยโอกาส เชิญมหาอำนาจตั้งฐานทัพ หรือเพิ่มกำลังทหาร แต่ไม่ใช่ไทย

"ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นชนวนนำไปสู่การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 น่าจะมีโอกาสจะเกิดขึ้นได้ถึง 60% ขอให้ทุกคนเตรียมพร้อมรับมือมหาสงคราม และเมื่อสงครามยุติ ประเทศไทยจะรวยมาก".