อนาคตที่ต้องจับตา "รัสเซีย" กับความฉกาจด้าน "แรนซัมแวร์" ความน่ากลัวที่ "ไทย" ต้องรับมือ และบทบาทแทรกซึมอิทธิพล ผนึกกำลัง "จีน" ท้าชนอำนาจโลก "อเมริกา"

ในห้วงวิกฤติโควิด-19 (COVID-19) นี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า "รัสเซีย" เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการเป็น "ผู้พิทักษ์ชีวิต" ให้กับประชากรโลก ด้วยการผลิต "วัคซีนต้านโควิด-19" ที่มีชื่อว่า "สปุตนิก วี" (Sputnik V)

โดยเจ้า "สปุตนิก วี" ที่ว่านี้ ผู้พัฒนาได้ออกมาโชว์ประสิทธิภาพการต่อสู้กับสายพันธุ์ "เดลตา" (Delta) เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2564 ไว้ว่า สูงถึงประมาณ 90% ส่วนสายพันธุ์ดั้งเดิมอยู่ที่ประมาณ 92%

สำหรับยอดการติดเชื้อโควิด-19 สะสมภายในรัสเซีย ณ วันที่ 8 สิงหาคม 2564 อยู่ที่ 6.5 ล้านคน เสียชีวิตสะสม 1.7 แสนคน ซึ่งยอดการติดเชื้อเฉลี่ยรอบ 7 วันล่าสุด อยู่ที่ประมาณ 2.3 หมื่นคน โดยในจำนวนนี้กว่า 90% เป็นสายพันธุ์เดลตา (*รัสเซียมีประชากรทั้งหมด 144.4 ล้านคน)

แต่แน่นอนว่า ในวันนี้สิ่งที่เราจะพูดถึง "รัสเซีย" ไม่ได้มีเพียงแค่บทบาทการเป็นผู้พัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 เท่านั้น เพราะในอนาคตที่ต้องจับตาต่อจากนี้ คือ ท่าทีและบทบาทที่ "รัสเซีย" กำลังจะเฉิดฉายท้าทายอำนาจโลกฟากฝั่งตะวันตกอย่าง "อเมริกา"

โลกกำลังเปลี่ยน!

...

เปิดวาระถกการเมืองระหว่างประเทศกับ รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศ ในวันที่โลกกำลังจะเปลี่ยนไป...

อันดับแรกคงต้องเกริ่นถึงขั้วอำนาจโลกฟากฝั่งตะวันออกอย่าง "จีน" ที่ค่อยๆ ขยายอิทธิพลข้ามดินแดนไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ต่างกับ "รัสเซีย" ที่ก็กำลังเดินรอยตามนั้นเช่นกัน

โดยสมัยก่อนนั้น การเป็น "คอมมิวนิสต์" ของจีนมักถูกมองในแง่ลักษณะของ "ปมด้อย" แต่เมื่อเปลี่ยนผ่านสู่อำนาจการปกครองภายใต้ประธานาธิบดี "สี จิ้นผิง" ก็กลับกลายเป็นการประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ของ "คอมมิวนิสต์" และนั่นเหมือนกับว่ากำลังจุดประกายความนึกคิดบางอย่างให้กับ "รัสเซีย"

ทีนี้... "รัสเซีย" จะทำแบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่อไม่ใช่ "คอมมิวนิสต์"

แต่เป็นลักษณะของ "เผด็จการเสียงข้างมาก!"

หมายถึงว่า "อาศัยการที่ตัวเองได้เสียงข้างมาก เสร็จแล้วก็ทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนจะเข้าไปแทรกแซงทางด้านระบบตุลาการ รวมถึงเสรีภาพ ที่แม้กระทั่งคนต่อต้านหนีไปต่างประเทศก็ยังตามไปเลย"

สถานะเสรีภาพของ "รัสเซีย" เป็นเช่นไร?

จากรายงาน Freedom in The World 2021 โดย Freedom House ให้คะแนนสิทธิทางการเมืองไว้ที่ 5/40 และเสรีภาพพลเมือง 15/60 รวมแล้วปี 2563 ที่ผ่านมา รัสเซียมีคะแนน 20/100 อยู่ในสถานะ "ประเทศไร้สิทธิเสรีภาพ"

โดยระบบการปกครองแบบเผด็จการของรัสเซียนั้น มีอำนาจรวมศูนย์อยู่ในกำมือของประธานาธิบดี "วลาดิเมียร์ ปูติน" ที่พรั่งพร้อมไปด้วยกองกำลังคุ้มครองความปลอดภัย และคณะตุลาการแสนจงรักภักดี หรือแม้แต่สื่อมวลชนก็ตกอยู่ภายใต้สภาวะการถูกควบคุม ขณะเดียวกัน รัฐสภาก็ประกอบไปด้วยแกนนำรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ว่าง่าย

ที่ว่ามานั้น คือ คำบรรยายของผู้ให้คะแนนสิทธิเสรีภาพในรายงาน Freedom in The World 2021

ขณะที่ อีกหนึ่งรายงาน Russia by 2021 Index of Economic Freedom โดย heritage.org ให้คะแนนเสรีภาพทางเศรษฐกิจของ "รัสเซีย" เพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่ 61.5 หรืออันดับ 92 ในรายนามประเทศที่มีเสรีภาพทางเศรษฐกิจดีที่สุดในดัชนีปี 2564 เป็นผลจากคะแนนภาระภาษีที่ดีขึ้น

เพราะฉะนั้น รศ.ดร.สมชาย จึงมองว่า ในห้วงความคิดของ "รัสเซีย" หรือประธานาธิบดี "ปูติน" สิ่งที่ทำให้เสียใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้น "จุดจบของสหภาพโซเวียต" ที่กลายมาเป็น 15 ประเทศ ณ ปัจจุบัน

ณ วันที่ 25 ธันวาคม 2534 เหตุการณ์สำคัญที่บันทึกไว้ในรายงาน The Collapse of the Soviet Union โดย Office of the Historian ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เขียนถึงวินาทีจุดจบของ "สหภาพโซเวียต" ไว้ว่า "ธงค้อนเคียว" ของโซเวียตโบกสะบัดเหนือเครมลินเป็นครั้งสุดท้าย...ก่อนถูกลดเกียรติลง แล้วถูกแทนที่ด้วย "ธงสามสี" ของรัสเซีย ซึ่งในวันนั้น "มิคาอิล กอร์บาชอฟ" ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหภาพโซเวียต และ "บอริส เยลต์ซิน" ก็ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่แห่งรัฐเอกราชรัสเซีย

...

จากเหตุการณ์สำคัญนั้นได้สร้างความประหลาดใจให้กับ "ผู้ชมทั่วโลก" ว่าเป็นไปได้อย่างไรที่การเปลี่ยนผ่านจากเอกานุภาพคอมมิวนิสต์ไปสู่ประเทศที่แบ่งแยกอย่างหลากหลายจะดำเนินไปด้วยความสงบเรียบร้อยเช่นนี้

"ประธานาธิบดีปูตินมอง 'ตะวันตก' เหมือนกับที่จีนมอง นั่นคือ คุณใช้ 'ประชาธิปไตย' มาบั่นทอน ทำให้ระบบการปกครองของเขาพัง เพราะฉะนั้นนับจากนี้ เขาจะไม่ยอมให้คุณมาบั่นทอนอีกแล้ว และจะเล่นคุณอีกด้วย ถึงแม้เขาจะไม่มีสิทธิเสรีภาพเทียบเท่า แต่เขาดีกว่า คือ ไม่มีคนจน"

รศ.ดร.สมชาย ชี้ว่า นั่นเป็น "มุมมอง" ที่ได้มาจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต

ในรายงานของธนาคารโลก หรือ World Bank ประเมินว่า รัสเซียอาจกลับไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอีกครั้งในปี 2565 หากเกิดการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ใหม่ และมาตรการในการควบคุมระยะยาวก็อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ "อัตราความยากจน" โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูก 3 คนขึ้นไป ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว และครัวเรือนในพื้นที่ชนบทและเมืองเล็กๆ

"รัสเซียภายใต้ประธานาธิบดีปูติน เป็นในแนวทางที่ว่า ผมจะพยายามเล่นงานคุณกลับแล้ว และผมจะเอาสหภาพโซเวียตคืน"

ความน่ากลัวที่ "ไทย" ต้องเตรียมพร้อมรับมือ!

...

โดย รศ.ดร.สมชาย ชี้ให้เห็นว่า "จุดแข็ง" สำคัญของ "รัสเซีย" คือ การที่มี "ปรมาณู" สู้กับ "อเมริกา" ได้เป็นประเทศเดียวในโลก เพราะฉะนั้น ประธานาธิบดีปูตินจึงใช้จุดแข็งตรงนี้เป็นตัวตั้งในการข่มขู่ประเทศต่างๆ และเข้าไปยึด "ไครเมีย" เพราะรู้ว่า "อเมริกา" หัวเด็ดตีนขาดไม่กล้าทำสงครามโลก ครั้งที่ 3 แน่นอน

"ถ้ารัสเซียยึดไครเมียก็ได้ และกำลังรุกยูเครนอยู่ แล้ววันนี้กำลังขยายอิทธิพลไปอยู่เบลารุส เพราะฉะนั้นเขากำลังรุกคืบมาทางด้านนาโตต่างๆ เหล่านี้"

เห็นได้ว่า บทบาท "รัสเซีย" กำลังสูงขึ้นทุกที!

รศ.ดร.สมชาย มองว่า ภายใต้ความคิดของประธานาธิบดีปูติน มองว่า เขามีอำนาจต่อรอง "อเมริกา" ในห้วงเวลาที่อเมริกากำลังอยู่ในขาลง เพราะฉะนั้นบทบาทเวลานี้ "รัสเซีย" กำลังแสดงท่าทีข่มขู่นาโต พยายามที่จะแบ่งแยกนาโต หนึ่งในนั้นจะเห็นได้ชัดว่า ทั้งจีน ทั้งรัสเซีย มีความพยายามที่จะบ่อนทำลาย "สหภาพยุโรป" เป้าหมายแรกๆ ที่เป็นหนึ่งในนั้น คือ "ฮังการี" ที่มีความใกล้ชิดจีน และพยายามที่จะยึดเลียนแบบ "รัสเซีย" ที่มาทาง "โปแลนด์" แต่โปแลนด์ก็สนิทกับรัสเซีย แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ เน้นนำระบบของรัสเซียขึ้นมา พอขึ้นมาก็ไม่ยอมให้มีสิทธิเสรีภาพ มีการเข้าไปแทรกแซงทางด้านของศาลสูง

และล่าสุด หากติดตามกันจะเห็นว่า มีการห้ามเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ LGBTQ หรือกลุ่มความหลากหลายทางเพศ ก็คือ ไม่ให้สิทธิตรงนี้ ซึ่งกำลังขยายตัวอยู่ ณ เวลานี้ และนำไปสู่การเลียนแบบเช่นกัน

"ทีนี้... รัสเซียกำลังขยายอิทธิพลเข้าไปมีบทบาทอยู่ในตะวันออกกลาง ใกล้ชิดกับทางอิหร่าน เข้าไปคุมทางซีเรีย อีกทั้ง ณ เวลานี้ ทั้งจีนและรัสเซียกำลังขยายอิทธิพลไปยังลาตินอเมริกาแล้ว"

...

ในกรณีนี้เราจะเห็นได้ว่า "รัสเซีย" กำลังขยายบทบาท ที่สำคัญ คือ ณ ขณะนี้ รัสเซียและจีน กำลังบ่อนทำลายด้วยการใช้ "ไซเบอร์" หากยังจำกันได้ คือ ครั้งสมัยการเลือกตั้งระหว่าง "ฮิลลารี คลินตัน" และ "โดนัลด์ ทรัมป์" ที่สุดท้าย... ฮิลลารีก็ไม่ได้รับเลือกตั้ง จากเหตุการณ์นั้นทำให้มีบทความหนึ่งเขียนว่า ผู้เลือดร้อนอย่าง "ทรัมป์" เป็น "ลูกน้อง" ของปูติน

และอย่างที่บอกว่า รัสเซียมีความน่ากลัวที่ "ไทย" ต้องรับมือ นั่นก็คือ ณ ขณะนี้ พวกเขามีความฉกาจอันโดดเด่นในสิ่งที่เรียกว่า "แรนซัมแวร์"

โดย "แรนซัมแวร์" ที่ว่านี้กำลังบ่อนทำลายหลายๆ องค์กร และบุคคลอันโด่งดัง ล่าสุด คือ "บิล เกตส์" ที่มีการข่มขู่ แล้วก็ขอเงินค่าไถ่ ซึ่งเจ้าตัวนี้แหละที่จะกระทบกับ "ไทย" ด้วย เพราะอีกหน่อยพวกนี้จะเข้ามาคุกคามและควบคุม ดังนั้นถ้าเราไม่พัฒนาตัวเองก็จะทำให้เป็นได้เพียงแค่ "เบี้ย" ที่จะถูกควบคุมและคุกคามตลอดไป ขณะเดียวกัน ณ เวลานี้ จีนเองก็กำลังพัฒนาด้านนี้อย่างเต็มที่

"อเมริกากับยุโรปกำลังเจอกับปัญหาแรนซัมแวร์ ซึ่งรัสเซียเก่ง ฉะนั้น บทบาทของรัสเซีย ณ ขณะนี้ กำลังขยายไปสู่ภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งภูมิภาคเราด้วย และส่วนหนึ่งก็ร่วมมือกับจีนในด้านการทหาร เพราะทั้ง 2 ฝ่ายนี้ มองอเมริกาและยุโรปเป็นศัตรูร่วมกัน โดยเฉพาะอเมริกา"

อีกอย่างที่เราต้องยอมรับ คือ รัสเซียเก่งทางด้านเทคโนโลยี ทั้งอวกาศและทางทหาร แม้ไม่เก่งเทคโนโลยีทางด้านพลเรือน แต่นี่คือ "ความน่ากลัว" เพราะการที่เขาเก่งด้านนี้ สามารถพัฒนามาสู่ด้านพลเรือนได้

อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.สมชาย ก็มองว่า แม้ "รัสเซีย" จะมาเป็นขั้วที่ 3 ที่มาแรงแซงโค้งในช่วงนี้ แต่ "จีน" ก็ยังมีความสำคัญมากกว่า เพราะกำลังท้าทาย "อเมริกา" ทุกมิติ ซึ่งรัสเซียยังจำกัดอยู่แค่เทคโนโลยีการทหาร ถึงจะมีอิทธิพลและกำลังแผ่ไปสู่ประเทศต่างๆ.


ผู้เขียน: เหมือนพระอาทิตย์
กราฟิก: Varanya Phae-araya

ข่าวน่าสนใจ: