• กลุ่มที่มีแนวคิดดังกล่าว คือ กลุ่มที่เรียกกันว่า ‘รีพับลิก’ พวกเขาเริ่มต้นซื้อโฆษณาทั้งหมด 12 ป้าย เรียกร้องให้ระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตยควรจบสิ้นลงพร้อมกับการเสด็จสวรรคตของพระราชินี
  • กระแสดูจริงมากขึ้นเมื่อสำนักข่าวในอังกฤษ เขียนพาดหัวประเด็นดังกล่าวว่า เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ จะกลายเป็นบุคคลที่เร่งให้เกิดการสิ้นสุดของระบอบราชาธิปไตยหรือไม่
  • แม้เกิดการเรียกร้องให้ข้ามเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ส่งต่อบัลลังก์ให้เจ้าชายวิลเลียมแทน แต่สมมติฐานดังกล่าวดูแทบจะเป็นไปไม่ได้


‘95 พรรษา’ คือพระชนมพรรษาของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ด้วยตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้น แม้ในปี 2022 พระองค์จะครองราชย์ครบ 70 ปี ชาวอังกฤษรวมถึงสำนักข่าวจำนวนมากต่างเอ่ยถึงผู้สืบทอดบัลลังก์องค์ต่อมาอย่าง เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ (Prince Charles, Prince of Wales) ท่ามกลางกระแสด้านลบที่ไม่ต้องการให้เจ้าฟ้าชายร์ลส์ขึ้นครองราชย์ บ้างก็เรียกร้องให้ข้ามไปเป็นเจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งเคมบริดจ์ (Prince William, Duke of Cambridge) แทนได้หรือไม่

เสียงค่อนแคะมีมาให้ได้ยินเสมอ แต่ส่วนใหญ่เป็นกระแสที่มาแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเร็วๆ นี้ กลุ่มประชาชนที่ต่อต้านการขึ้นครองราชย์ของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ระดมทุนซื้อป้ายโฆษณา แล้วเขียนข้อความว่า "NO MAN SHOULD BE KING" เพื่อกระจายข้อความดังกล่าวไปทั่วประเทศ

ความไม่พอใจรัชทายาทแห่งอังกฤษมีมากถึงขนาดเกิดความคิดที่ว่า หากเกิดกรณีราชินีสิ้นพระชนม์ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ได้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป อังกฤษก็ไม่ควรมีสถาบันกษัตริย์เลยเสียดีกว่า



ทฤษฎีที่ว่า ‘ประมุขแห่งรัฐควรมาจากการเลือกตั้ง’

...

กลุ่มที่มีแนวคิดดังกล่าวคือกลุ่มที่เรียกกันว่า ‘รีพับลิก’ พวกเขาเริ่มต้นซื้อโฆษณาทั้งหมด 12 ป้าย เรียกร้องให้ระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตยควรจบสิ้นลงพร้อมกับการเสด็จสวรรคตของพระราชินี นอกจากนี้ยังมีการรณรงค์ทางโซเชียลมีเดียด้วยการติดแฮชแท็ก #EndTheMonarchy คล้ายกับการทำประชามติคร่าวๆ ให้ประชาชนลงคะแนนเสียงเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของราชวงศ์อังกฤษ หรือแม้กระทั่งเรียกร้องให้ประชาชนมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกประมุขแห่งรัฐ

“คาดว่าป้ายนำร่อง 12 แห่งทั่วสหราชอาณาจักร เช่น ลีดส์, เบอร์มิงแฮม, ลิเวอร์พูล, กลาสโกว์, นิวคาสเซิล, อเบอร์ดีน, เพสลีย์ และพอร์ตสมัธ จะถูกติดในสัปดาห์หน้า แน่นอนว่าเราไม่ลืมเมืองสำคัญอย่างเวลส์ ที่จะตามมาในลำดับถัดไป” หนึ่งในสมาชิกกลุ่มรีพับลิกให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวท้องถิ่น

พวกเขาเชื่อมั่นว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เพราะผู้คนจะเริ่มพูดถึงระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐในอังกฤษอีกครั้ง แม้เรื่องที่กำลังทำอยู่อาจดูเป็นไปได้ยาก แต่ใช่ว่าจะไม่สร้างแรงกระเพื่อมบางอย่างต่อสังคม

ประชาชนจำนวนไม่น้อยมองต่างออกไป ว่าประเด็นที่ทำให้กลุ่มรีพับลิกออกมาผลักดันเรื่องนี้ อาจมีเหตุผลเพียงแค่ความไม่ชื่นชอบเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ รวมถึงความคิดที่ว่า เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์คงไม่สามารถครองคะแนนนิยมของมวลชนได้เท่ากับราชินีเอลิซาเบธที่ 2

ทางกลุ่มรีพับลิกยืนยันว่าสิ่งที่พวกเขาอธิบายไม่ได้เป็นเพียงแค่ความคิดของคนกลุ่มเดียว และไม่ได้อุดมด้วยอคติ เห็นได้จากผลสำรวจความนิยมของเว็บไซต์ YouGov เมื่อเดือนธันวาคม 2020 ที่ลงพื้นที่ถามประชาชนว่า “ท่านอยากเห็นใครเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ต่อจากราชินี”

ผู้ลงความเห็น 40 เปอร์เซ็นต์ ต้องการให้เจ้าชายวิลเลียมเป็นกษัตริย์ แม้เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์จะทรงมีพระอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมาร เป็นรัชทายาทอันดับหนึ่งในการสืบราชสันตติวงศ์ก็ตาม

นอกจากนี้ยังมีผลสำรวจที่ว่า คนในช่วงอายุ 18-24 ปี 41 เปอร์เซ็นต์ ต้องการมีสิทธิเลือกประมุขแห่งรัฐ ส่วนคนช่วงวัยอื่นอีก 31 เปอร์เซ็นต์ ยังคงสนับสนุนสถาบันกษัตริย์

ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2021 Redfield & Wilton Strategies เผยผลสำรวจอีกชุดที่ชี้ให้เห็นว่า ประชาชนกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ยังคงพอใจต่อตัวสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ส่วนอีก 58 เปอร์เซ็นต์ ต้องการเห็นเจ้าชายวิลเลียมเป็นกษัตริย์ต่อจากพระราชินี และ 23 เปอร์เซ็นต์ เห็นด้วยว่ากษัตริย์องค์ต่อไปควรเป็นเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์

การทำผลสำรวจหลายครั้งได้ผลลัพธ์ตรงกัน เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ยังคงมีคะแนนความนิยมอยู่ในระดับต่ำกว่าพระราชมารดาและพระราชโอรส นอกเรื่องความนิยม ยังคงพูดถึงเรื่องงบประมาณในแต่ละปีที่ถูกส่งไปยังสถาบันกษัตริย์ รวมถึงทายาทเชื้อพระวงศ์รุ่นเยาว์ที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี

สำนักข่าว BBC รายงานตัวเลขงบประมาณเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ จากการเปิดเผยของสำนักพระราชวัง พบว่าในปี 2020 ราชวงศ์อังกฤษได้เงินภาษีราว 69.4 ล้านปอนด์ (2,770 ล้านบาท) ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ รวมถึงปัญหายิบย่อยอื่นๆ ที่ค่อนข้างตรงกันทั้งกลุ่มคนที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมและคนรุ่นใหม่ คือการมองว่าอังกฤษมีเจ้าหญิงและเจ้าชายที่ไม่ใช่ทายาทสายตรงมากเกินไป

ปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ในยุคสมัยใหม่เริ่มถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง หรือปัจจัยหลายอย่าง รวมถึงการเคลื่อนไหวในภาคประชาชน (แม้จะเป็นส่วนน้อย) อาจสร้างแรงกระเพื่อมบางอย่างต่อสังคมอังกฤษได้อย่างที่กลุ่มรีพับลิกว่าเอาไว้

...



อนาคตของสถาบันกษัตริย์จะเป็นอย่างไรต่อ

สถาบันกษัตริย์อังกฤษเกิดขึ้นมาพร้อมกับความยิ่งใหญ่ ในยุคสมัยแห่งความเปลี่ยนแปลง ทำให้บางช่วงบางตอนของสถาบันกษัตริย์เสื่อมความนิยมลง ทว่าสถาบันก็ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน

ทั้งข่าวทางการและข่าวลือว่า ประเทศในเครือจักรภพหลายแห่ง ต่างกล่าวทีเล่นทีจริงในการยินยอมให้สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของพวกเขา หรือกรณีที่ประเทศบาร์เบโดส ประกาศถึงความพยายามถอดสมเด็จพระราชินีออกจากประมุขแห่งรัฐให้ได้ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2021 และเปลี่ยนประเทศไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ

เหตุการณ์ในเมืองวินนิเพก ประเทศแคนาดา ที่มีการโค่นรูปปั้นพระราชินี ทั้งราชินีวิกตอเรีย และสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 จากความโกรธเคืองเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และปฏิบัติต่อเด็กชนพื้นเมืองอย่างไม่เป็นธรรมเมื่อร้อยกว่าปีก่อน แม้เหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 โดยตรงก็ตาม

ด้านของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เสียงส่วนใหญ่ต่างลงความเห็นว่า หากเทียบกับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระองค์ไม่ได้รับความนิยมจากประชาชนมากนักมาแต่ไหนแต่ไร สำนักข่าวบางแห่งให้เหตุผลว่า เป็นเพราะคนอังกฤษไม่น้อยยังรู้สึกโกรธเคืองปนรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อเอ่ยถึงความสัมพันธ์สามเส้าของพระองค์ กับ ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ (Diana, Princess of Wales) และ คามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์ (Camilla Paker Bowles) ที่ตอนนี้เป็น ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ (Duchess of Cornwall) รวมถึงเรื่องอื่นที่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างบุคลิก หรือการตอบคำถามสื่อ

วันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ newidea ถึงขั้นพาดหัวบทความเกี่ยวกับสถานการณ์ของสถาบันกษัตริย์อังกฤษว่า "Will Prince Charles hasten the end of the monarchy?" (เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ จะกลายเป็นบุคคลที่เร่งให้เกิดการสิ้นสุดของระบอบราชาธิปไตยหรือไม่)

...

หากมองถึงประเด็นเรื่องการข้ามเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ไปมอบบัลลังก์ให้แก่เจ้าชายวิลเลียมแทน นักวิชาการ นักการเมืองบางราย รวมถึงนักวิจารณ์ที่อยู่คู่กับราชวงศ์มานาน เห็นพ้องต้องกันว่าสมมติฐานดังกล่าวแทบจะเป็นไปไม่ได้ แล้วตั้งคำถามต่อผู้โหมกระแส ทำไมถึงยังเรียกร้องในเรื่องที่รู้ว่าไม่มีทางเกิดขึ้น

แต่สุดท้ายก็วนกลับมาที่จุดเดิมของปัญหา เมื่อการเปลี่ยนผ่านผู้ครองบัลลังก์ไม่สามารถทำแบบข้ามขั้นได้ หากไม่เกิดกรณีไม่คาดฝันอย่างการสวรรคต หรือสละราชสมบัติ แล้วผู้เป็นรัชทายาทลำดับที่หนึ่งไม่ได้รับความนิยมจากประชาชนมากนัก ยิ่งทำให้แนวคิดสาธารณรัฐถูกพูดถึงบ่อยขึ้นในช่วงนี้



อ้างอิง