จับตาใกล้เส้นตายย้ายพรรค "อนุรักษ์นิยม" ไหลรวมศูนย์ ภูมิใจไทย-กล้าธรรม ปักธงแกร่งกว่าเดิม ชี้"เพื่อไทย” ไม่หวั่นพลังดูด ยึดพื้นที่เหนียวแน่น
เลือกตั้ง 2569 ใกล้ถึงวันรับสมัคร ปาร์ตี้ลิสต์ และ สส.บัญชีรายชื่อ ที่จะเกิดขึ้นในสุดสัปดาห์นี้ นั่นหมายความว่า หากนักการเมืองต้องการย้ายพรรคสลับขั้น ต้องให้แล้วเสร็จก่อนการรับสมัคร ทำให้ช่วงนี้ฝุ่นตลบ แต่ก็น่าจับตาว่า ผู้สมัครในขั้นของพรรคอนุรักษ์นิยมเดิม มีการย้ายพรรคมากขึ้น
หากประเมินการย้ายพรรคของผู้สมัคร ในสายอนุรักษ์นิยม รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วิเคราะห์สถานการณ์การเตรียมความพร้อมก่อนการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า ได้เกิดปรากฏการณ์ “สส.ไหล” ในวงกว้าง โดยมีปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก กติกาการเลือกตั้งที่เอื้ออำนวยต่อการเคลื่อนย้ายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประการที่สอง ระยะเวลากรอบการเลือกตั้งที่ค่อนข้างสั้น เหลือเพียงราว 40 กว่าวันนับจากปัจจุบัน ทำให้แต่ละพรรคการเมืองต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อแสวงหาความได้เปรียบ
เมื่อระยะเวลาหาเสียงมีจำกัด ฐานเสียงหรือคะแนนนิยมของพรรคการเมืองมักไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ส่งผลให้หลายพรรคเลือกใช้ “ทางลัด” ในการแข่งขันทางการเมือง ด้วยการดึงตัว หรือ “ช็อปปิ้ง สส.” เพื่อเพิ่มโอกาสคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับหลักการหรือเอกภาพภายในพรรคเท่าที่ควร
...
ขณะเดียวกัน หากกฎหมายรัฐธรรมนูญยังไม่ได้รับการแก้ไข รูปแบบและปัญหาเดิมก็มีแนวโน้มจะเกิดซ้ำ เช่นเดียวกับการเลือกตั้งในปี 2562 และ 2566 กล่าวคือ จะยังคงมี “กติกา 2 ระดับ” ทั้งในสนามเลือกตั้ง และในขั้นตอนการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งกติกาลักษณะนี้ไม่สามารถสะท้อนเจตจำนงของประชาชนได้อย่างแท้จริง เนื่องจากผลการเลือกตั้งที่ประชาชนตัดสินใจอาจไม่ถูกถ่ายทอดไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎรตามความต้องการของประชาชนอย่างตรงไปตรงมา
การเคลื่อนย้ายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในช่วงก่อนการเลือกตั้งครั้งนี้ เปรียบเสมือนกระแสน้ำที่ไหลรวมกันเป็นหลายสาย ตั้งแต่แม่น้ำสายใหญ่ สายกลาง ไปจนถึงสายเล็ก โดยแม่น้ำสายใหญ่หมายถึงกระแสการย้ายไปสู่พรรคภูมิใจไทย ขณะที่แม่น้ำสายกลางคือ กระแสที่ไหลไปสู่พรรคกล้าธรรม
ส่วนแม่น้ำสายเล็กอาจไหลไปยังพรรคเพื่อไทย หรือพรรคการเมืองที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ในภาพรวม แม่น้ำสายใหญ่และสายกลางถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างมีนัยสำคัญ โดยต้นน้ำของกระแสน้ำสำคัญทั้งสองสาย ส่วนใหญ่มาจากพื้นที่ของพรรคชาติไทยพัฒนา รองลงมาคือพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ สะท้อนให้เห็นถึงการปรับขั้วและการรวมกลุ่มของนักการเมืองในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนการเลือกตั้ง
พรรคการเมืองอนุรักษ์นิยมล่มสลาย?
สำหรับกลุ่มพรรคการเมืองสายอนุรักษ์นิยม รศ.ดร.ยุทธพร มองว่า ไม่น่าจะเกิดภาวะล่มสลาย แต่กลับมีแนวโน้มจะรวมตัวกันมากขึ้น จากเดิมที่กระจายตัวเป็นหลายสายย่อย อาจไหลรวมกันเป็นกระแสหลักที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม พร้อมทั้งเสริมพลังทางการเมืองให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า กระบวนการเลือกตั้งในครั้งนี้อาจไม่สามารถถ่ายทอดเจตจำนงของประชาชนได้อย่างแท้จริง เนื่องจากการตัดสินใจของ สส. ในสภาไม่ได้ยึดโยงกับทิศทางคะแนนเสียงของประชาชนอย่างชัดเจน และยังคงดำเนินไปภายใต้เกณฑ์การจัดตั้งรัฐบาลในรูปแบบเดิม
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้จัดการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาแล้ว 2 ครั้ง แต่ผลปรากฏว่าพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ทั้งสองครั้ง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า เจตจำนงของประชาชนยังมีบทบาทจำกัดอย่างยิ่งในกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้กติกาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
...
สำหรับพรรคเพื่อไทย แม้ก่อนหน้านี้จะมีกระแสดราม่าเกี่ยวกับการโยกย้ายออกของ สส. ในพรรคเพื่อไทย แต่ รศ.ดร.ยุทธพร มองว่า ตนยืนยันมาตลอดว่าพรรคเพื่อไทยยังมีโอกาสได้ สส. ประมาณ 100 ที่นั่ง เพราะฐานคะแนนเสียงของพรรคยังคงอยู่ แม้ว่าผลการเลือกตั้งล่าสุดในสนามเลือกตั้งซ่อม พรรคเพื่อไทยจะแพ้ 2 สนามและชนะเพียง 1 สนาม แต่คะแนนเสียงโดยรวมไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โจทย์สำคัญสำหรับพรรคตอนนี้คือการปรับโครงสร้างพรรคและหาฐานคะแนนเสียงใหม่มาเสริม
ในเรื่องสถานการณ์การย้ายพรรคในตอนนี้มีแนวโน้มสงบลง เนื่องจากหลายพรรคเริ่มประกาศรายชื่อ สส. บัญชีรายชื่อและแคนดิเดตออกมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามต่อไปว่า สส. ที่ย้ายพรรคในช่วงที่ผ่านมา จะเปลี่ยนใจกลับไปสู่พรรคเดิมในโค้งสุดท้ายหรือไม่
...