ไทยโดดเดี่ยวเวทีโลก อ่านเกมกัมพูชา เล่นบท “ผู้ถูกกระทำ” หลังความเป็นเหยื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เดิมพันของความขัดแย้ง ใครตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ?
“ผมไม่เห็นประเทศไหน ที่มาประณามกัมพูชา ว่ามาวางทุ่นระเบิดในเขตไทย ได้แต่พูดว่าขอให้ไทย ลดการใช้อาวุธ ลดความรุนแรง” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม กล่าวเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 68
ขณะที่ฝั่งกัมพูชา พยายามเล่นบทเป็นผู้ถูกกระทำ และมีความพยายามในการเดินหน้าฟ้องในเวทีโลก และวันนี้ 24 ธ.ค.68 “กัมพูชา” ได้มาร่วมประชุม GBC ระดับเลขาฯ ที่ จ. จันทบุรี ถกแก้ปัญหาชายแดนไทย - กัมพูชา ประชุมวันแรกจบภายในเวลา 35 นาที
ซึ่งในโลกปัจจุบัน ความขัดแย้งระหว่างประเทศไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการเคลื่อนกำลัง หรือการปะทะทางทหารเท่านั้น หากแต่ขยายตัวอย่างชัดเจนเข้าสู่พื้นที่ของ “การสื่อสารระหว่างประเทศ” ถ้อยคำที่ผู้นำหรือผู้แทนรัฐเลือกใช้ต่อสาธารณะจึงมีน้ำหนักไม่ต่างจากยุทธวิธีในสนามรบ เพราะสามารถกำหนดกรอบการรับรู้ของประชาคมโลกต่อสถานการณ์หนึ่ง ๆ ได้ตั้งแต่ระยะแรก ก่อนที่ข้อเท็จจริงภาคสนามจะได้รับการตรวจสอบอย่างครบถ้วน
...
สถานการณ์ตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาเป็นตัวอย่างที่สะท้อนประเด็นนี้ได้อย่างชัดเจน เหตุปะทะหลายจุดในพื้นที่พิพาท สำนักข่าวทั้งในประเทศและต่างประเทศรายงานอย่างต่อเนื่องในช่วงวันที่24–28 ก.ค. 68 นำไปสู่การออกแถลงการณ์ตอบโต้กันของทั้งสองฝ่ายในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้ประเด็นชายแดนไทย–กัมพูชาถูกจับตาอย่างใกล้ชิดบนเวทีการสื่อสารระดับนานาชาติ
ขณะเดียวกัน ข้อมูลเชิงลึกในพื้นที่ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมและตรวจสอบ ความตึงเครียดยังปะทุขึ้นอีกระลอกในช่วงต้นเดือน ธ.ค. 68 เมื่อมีรายงานเหตุปะทะหลายพื้นที่ โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในคืนวันที่ 7ธ.ค. ตามเวลาในประเทศไทย และมีความต่อเนื่องในวันถัดมา ทั้งสองฝ่ายต่างระบุว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มการปะทะ ขณะที่ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ยังต้องอาศัยกระบวนการตรวจสอบจากหลายแหล่ง
ในเชิงภาษาศาสตร์ นักวิชาการด้านการสื่อสารความขัดแย้งตั้งข้อสังเกตว่า ถ้อยแถลงจากฝั่งกัมพูชาในบางช่วง โดยเฉพาะผ่านการสื่อสารของโฆษกกระทรวงกลาโหม เนื่องจากมีการเลือกใช้ถ้อยคำที่เน้นการสร้างความรู้สึกเห็นใจและความไม่เป็นธรรม เช่น “อธิปไตย” “การโจมตีโดยไม่คาดคิด” และ “ประชาชนผู้บริสุทธิ์” มากกว่าการอธิบายรายละเอียดเชิงเทคนิคของเหตุการณ์ ทำให้ผู้รับสารมองสถานการณ์ผ่านกรอบของความสูญเสียและความเป็นเหยื่อเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นรูปแบบหนึ่งของ “กลยุทธ์เชิงวาทกรรม” ที่รัฐมักใช้เพื่อเร่งสร้างแรงสนับสนุนจากสังคมภายในประเทศและดึงความสนใจจากนานาชาติ
กลยุทธ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์โลก งานศึกษาของนักประวัติศาสตร์และนักรัฐศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า การวางตนเป็น “ผู้ถูกกระทำ” ถูกใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อสร้างความชอบธรรมทางการเมืองในช่วงเวลาที่ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏครบถ้วน ตัวอย่างที่สำคัญอย่าง สงครามอ่าวเปอร์เซีย ค.ศ. 1990–1991ที่ข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำต่อพลเรือนบางประเด็นถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ก่อนที่ภายหลังจะมีการตรวจสอบพบว่าข้อมูลบางส่วนเป็นผลจากการสื่อสารเชิงการเมืองมากกว่าหลักฐานภาคสนาม
...
เช่นเดียวกับความขัดแย้งในคาบสมุทรบอลข่านช่วงทศวรรษ 1990 ที่การเน้นย้ำความเจ็บปวดทางประวัติศาสตร์และภาพของความเป็นเหยื่อถูกใช้เพื่อลดทอนความซับซ้อนของข้อพิพาท และทำให้การเคลื่อนไหวทางการเมืองและการทหารดูมีความชอบธรรมมากขึ้นในสายตาสาธารณชน
ขณะที่เหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ยในปี ค.ศ. 1964 ถูกยกเป็นกรณีศึกษาคลาสสิกว่า การสื่อสารที่วางกรอบเหตุการณ์ในฐานะการ “ถูกโจมตี” สามารถกำหนดทิศทางการตัดสินใจระดับรัฐและการรับรู้ของสังคมโลกได้ ก่อนที่ข้อเท็จจริงจะถูกตรวจสอบย้อนหลัง
...
บทเรียนจากกรณีเหล่านี้สะท้อนว่า การสื่อสารสามารถกลายเป็นสมรภูมิได้โดยไม่ต้องรอให้การปะทะทางทหารขยายตัว และย้ำถึงความจำเป็นในการแยกแยะระหว่างถ้อยแถลง ข้อกล่าวอ้าง และข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้
ในอีกด้านหนึ่ง แนวทางการสื่อสารของประเทศไทยตามรายงานของสื่อทั้งในและต่างประเทศ มักเน้นความยับยั้งชั่งใจ การเรียกร้องให้ใช้กลไกการเจรจา และการจัดการสถานการณ์ผ่านกรอบทางการทูต ซึ่งไม่ได้หมายถึงการยอมจำนน หากแต่เป็นการเปิดพื้นที่ให้กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการทูตทำงาน เพื่อลดความเสี่ยงในการขยายความรุนแรงและผลกระทบต่อประชาชน
...
ท้ายที่สุด บทเรียนสำคัญจากสถานการณ์นี้คือ ภาษาและถ้อยคำมีพลังไม่น้อยไปกว่าอาวุธ หากหลายประเทศเลือกใช้กลยุทธ์เชิงวาทกรรมของความเป็น “ผู้ถูกกระทำ” ก่อนที่ข้อเท็จจริงจะได้รับการพิสูจน์ ความขัดแย้งย่อมมีแนวโน้มยืดเยื้อและคลี่คลายได้ยาก โลกอาจค่อย ๆ กลายเป็นสมรภูมิอีกแห่งในเชิงการสื่อสาร และหากทุกฝ่ายเดินเกมเช่นนี้ ความสงบในระยะยาวก็อาจถอยห่างออกไปมากกว่าที่คาดคิด