จับตาศึกเลือกตั้ง 69: เช็กชื่อ 7 พรรคน้องใหม่-ผู้สมัครหน้าคุ้น ลงสู้ศึกสนามใหญ่ครั้งแรก หวังแจ้งเกิด  

ปี่กลองการเมืองเริ่มโหมโรงเร็วกว่าที่คิด เมื่อสัญญาณการเลือกตั้งใหญ่ต้นปี 2569 หลังจากการประกาศยุบสภาของนายกฯ อนุทิน โดยสนามการเมืองรอบนี้ไม่ได้มีแค่ “พรรคใหญ่” เจ้าเก่าที่ขับเคี่ยวกัน แต่สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดคือการปรากฏตัวของ “พรรคใหม่” ที่เพิ่งเข้าสู่สนามการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกอย่างเป็นทางการ

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ เจาะลึกความเคลื่อนไหวของ 2 กลุ่ม 7 พรรคการเมือง ทั้งกลุ่ม “เหล้าเก่าในขวดใหม่” ที่เคยมีเก้าอี้ในสภาฯ และกลุ่ม “พรรคน้องใหม่” ที่เพิ่งเปิดตัวแกนนำระดับบิ๊กเนม เตรียมลงสนามสู้ศึกเลือกตั้งครั้งแรก

กลุ่มพรรคเดิม ลุยเลือกตั้งใหญ่ครั้งแรก: “ปชน.-กล้าธรรม"

เริ่มต้นจาก "พรรคประชาชน" พรรคส้มเจเนอเรชั่นที่ 3  ที่นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค พรรคตัวเต็งที่หลายโพลยกให้เป็นว่าที่ผู้ชนะในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ เป็นพรรคที่ก่อตั้งขึ้นในระหว่างสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 หลังจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบ “พรรคก้าวไกล”

...

พรรคประชาชน มี สส.ในสภาฯ ชุดก่อนหน้านี้มากที่สุด มีบทบาทในการขับเคลื่อนกิจการในสภาฯ สานต่อจากยุคพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล รวมถึงมีส่วนสำคัญจากการนำ 143 เสียง สส. ยกมือหนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ภายใต้ MOA ที่จะอยู่ 4 เดือนและเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ และทำให้นายกฯ ประกาศยุบสภาฯ เพราะเลิกสนับสนุนก่อนถึงกำหนดแล้วด้วย

เป็นที่น่าจับตาว่า พรรคประชาชนจะสามารถรักษาฐานที่มั่นเดิมทั้ง สส.พื้นที่ และบัญชีรายชื่อภายใต้การเลือกตั้งในช่วงระหว่างสงครามชายแดนได้หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อกลุ่มการเมืองบ้านใหญ่เริ่มมารวมตัวกันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนอีกพรรคหนึ่ง เป็นพรรคพลังดูด สส.หลายกลุ่มก้อนมารวมตัวกัน นั่นคือ พรรคกล้าธรรม ซึ่งถือว่าเพิ่งเกิดใหม่เช่นกัน เพราะยังไม่เคยผ่านสนามการเลือกตั้งใหญ่มาก่อน

สำหรับ 2 แม่ทัพคนสำคัญ ได้แก่ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าพรรค และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรค รวมถึง นายไผ่ ลิกค์ เลขาธิการพรรค

พรรคกล้าธรรมไม่ใช่พรรคตั้งไข่ แต่เป็น “ยานพาหนะ” ที่แข็งแกร่งที่สุดของ “กลุ่มธรรมนัส” ที่แยกตัวออกมา โดยมีการรีแบรนด์และวางโครงสร้างสาขาพรรคที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเฉพาะฐานเสียงในภาคเหนือและภาคกลางที่กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส ดูแลอยู่ เดิมทีคือพรรคเศรษฐกิจไทยที่ถูกปรับโฉมใหม่เพื่อรองรับการเลือกตั้ง 69 พร้อมตั้งเป้าเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งหน้า

กลุ่มพรรคใหม่: 5 ดาวรุ่ง รุกสมรภูมิเลือกตั้ง '69

ความดุเดือดอยู่ที่กลุ่มพรรคใหม่ที่เพิ่งก่อร่างสร้างตัว หรือรีแบรนด์จากพรรคเล็กเพื่อสู้ศึกใหญ่ โดยมีบิ๊กเนมจากหลากหลายวงการตบเท้าเข้ามานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค ดังนี้

1. พรรคพลวัต

แกนนำคนสำคัญคือ นายกัณวีร์ สืบแสง หัวหน้าพรรค อดีต สส.พรรคเป็นธรรม ที่มีปัญหาภายใน จนตัดสินใจออกมาทำพรรคของตนเอง ชูสัญลักษณ์ตัวอักษร W และสีเขียว สื่อถึงคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลง ประกาศชัดเจนว่าไม่ใช่พรรคปัดเศษ

2. พรรครักชาติ

การกลับมาของนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ อดีต รมว.ดีอี ในบ้านหลังใหม่ ผู้มีฝีปากกล้า ตัดสินใจแยกตัวออกมาสร้างดาวดวงใหม่ โดยเข้าเทกโอเวอร์พรรคประชาสามัคคีและเปลี่ยนชื่อเป็น “พรรครักชาติ” เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2568 หวังเจาะฐานเสียงกลุ่มคนรุ่นใหม่ ประกาศไม่มีนายทุนพรรค ไม่ต้องตอบแทนใคร

3. พรรคโอกาสใหม่

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ หัวหน้าพรรค อดีต รมว.พาณิชย์ และปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ผันตัวเข้าสู่การเมืองเต็มตัว โดยมี นายธงชัย ลืออดุลย์ เป็นเลขาธิการพรรค ชูสโลแกน “โอกาสสำหรับคนไทยทุกคน” เน้นขายความเป็นมืออาชีพ (Technocrat) ประสบการณ์บริหารราชการแผ่นดิน และนโยบายสิ่งแวดล้อมที่จับต้องได้ ซึ่งเป็นเทรนด์โลก 

...

4. พรรคเศรษฐกิจ

พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ หัวหน้าพรรค อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 ผู้กว้างขวางในแวดวงสื่อและธุรกิจ ตัดสินใจนำทัพเอง ซึ่งชื่อพรรคบอกชัดเจนว่าเน้นแก้ปัญหาปากท้อง เชื่อมโยงคอนเนกชันระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่ซบเซา โดยได้รับกระแสพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่มีสงครามระหว่างไทย-กัมพูชา

5. พรรคไทยก้าวใหม่

ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่า กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กับบทบาทผู้นำทัพพรรคใหม่ที่ออกมาจากพรรคฟ้าพร้อมกับคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช เริ่มเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.กทm. และหัวเมืองใหญ่ เน้นเจาะกลุ่มคนเมือง คนรุ่นใหม่ และฐานเสียงกรุงเทพฯ ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษา แบบ “ทำได้จริง” ตามสไตล์วิศวกร

การเลือกตั้งปี 2569 จะไม่ใช่การต่อสู้ของขั้วเดิมๆ อีกต่อไป การเกิดขึ้นของพรรคใหม่เหล่านี้ที่มี “ตัวจริง” เป็นแกนนำ สะท้อนว่าสมการการเมืองไทยกำลังจะเปลี่ยน พรรคเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่ตัวประกอบ แต่คือ “ตัวแปร” ที่จะชี้ชะตาว่าใครจะได้จัดตั้งรัฐบาล

...