เปิดข้อสงสัยกัมพูชา จ้างทหารต่างชาติ บังคับโดรนสังหาร ระบบป้องกันไทยพร้อมแค่ไหน? ชี้จรวดหลายลำกล้อง PHL-03 เชื่อยังไม่ได้รหัสดาวเทียมจากจีน

จากเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา ทำให้มีรายงานการเคลื่อนไหวของอาวุธและยุทโธปกรณ์หลายประเภท ซึ่งสร้างความสนใจและความกังวลทั้งในด้านความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ การใช้งานโดรนและจรวดระยะไกล รวมถึงอุปกรณ์สนับสนุนอื่น ๆ เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ฝ่ายความมั่นคงไทยกำลังติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการจัดการและควบคุมอุปกรณ์เหล่านี้มีความซับซ้อนทั้งด้านเทคนิคและกฎหมาย ส่งผลให้การเตรียมมาตรการรับมือในพื้นที่ชายแดนต้องอาศัยการประสานงานระหว่างหน่วยงานหลายฝ่าย รวมถึงข้อจำกัดด้านกฎหมายและทรัพยากรอุปกรณ์ ทำให้การวางแผนและประสานงานระหว่างหน่วยงานต้องดำเนินไปอย่างรอบคอบและต่อเนื่อง


แหล่งข่าวระดับสูงจากกองทัพบก เปิดเผยกับ ทีมข่าวเฉพาะกิจ ไทยรัฐออนไลน์ ถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการปฏิบัติการของฝั่งกัมพูชา โดยระบุว่า มีความเป็นไปได้สูงที่กัมพูชาจำเป็นต้อง "จ้างผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติ" เข้ามาทำหน้าที่ควบคุมระบบโดรนที่มีความซับซ้อนทางเทคโนโลยี สาเหตุหลักมาจากการที่บุคลากรภายในกัมพูชายังขาดความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และไม่สามารถผลิต หรือฝึกฝนกำลังพลให้ทันต่อสถานการณ์ที่เร่งด่วน

...

ส่วนผู้เชี่ยวชาญคาดว่ามาจากแถบรัสเซีย เนื่องจากคนในกัมพูชาบางส่วน สามารถสื่อสารด้านเทคนิคของระบบควบคุมอาวุธได้สะดวกกว่า อย่างไรก็ตาม คาดว่าการว่าจ้างบุคลากรระดับสูงเหล่านี้ อาจมีความเชื่อมโยงกับเส้นทางการเงินนอกระบบ ที่ไม่สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปได้ตามกระบวนการปกติ


ส่วนระบบอาวุธหนักอย่างจรวดหลายลำกล้อง PHL-03 แหล่งข่าวระดับสูงเผยถึงข้อจำกัด ว่า ระบบนี้จำเป็นต้องพึ่งพา "รหัสดาวเทียมจากจีน" เพื่อใช้ในการนำวิถีโจมตีระยะไกลอย่างแม่นยำ หากปราศจากรหัสนี้ จรวดจะเปรียบเสมือนลูกธนูที่ถูกยิงออกไปโดยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ปัจจุบัน คาดว่ากัมพูชายังไม่ได้รับการสนับสนุนรหัสควบคุมดาวเทียมจากประเทศจีน ทำให้การใช้งานจรวดดังกล่าวจำต้องลดประสิทธิภาพลงมาใช้ระบบการยิงแบบ Manual หรือการเล็งยิงด้วยมือ ซึ่งขาดความแม่นยำอย่างสิ้นเชิง

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะยิงด้วยวิธีใด จรวดชนิดนี้ก็ยากที่จะควบคุมวิถีตก หรือจำกัดวงความเสียหายให้กระทบเฉพาะเป้าหมายทางทหาร ซึ่งอาจนำไปสู่ความสูญเสียต่อพลเรือนในฝั่งไทยได้

ภัยคุกคามจากโดรนได้เปิดแผลใหญ่ให้ไทย เนื่องจากแหล่งข่าวระดับสูงยอมรับว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะ "ขาดแคลนอุปกรณ์แอนตี้โดรน (Anti-Drone)" อย่างหนัก หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เคยหารือถึงความจำเป็นมานานกว่า 3–4 ปี แต่การจัดซื้อจัดจ้างกลับไม่สามารถดำเนินการได้ทันท่วงที เนื่องด้วยอุปสรรคด้านงบประมาณที่สูงลิ่ว และกับดักทางข้อกฎหมาย


อุปกรณ์แอนตี้โดรนถูกจัดให้เป็น "ยุทธภัณฑ์" ทำให้ขั้นตอนการจัดหาเพื่อใช้งานมีความซับซ้อน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีที่จีนเคยเสนอขอสัมปทานติดตั้งระบบแอนตี้โดรนในพื้นที่จังหวัดชลบุรี แต่ก็ต้องถูกพับโครงการไปเพราะติดขัดข้อกฎหมายดังกล่าว ทำให้สถานการณ์ปัจจุบันของไทยจึงเปรียบเสมือน “มีรถ แต่ไม่มีคนควบคุมจราจร”

ความน่ากังวลยังไม่จบเพียงแค่การจัดซื้อ แหล่งข่าวระดับสูงเน้นย้ำว่า แม้ไทยจะสามารถจัดหาเครื่องแอนตี้โดรนมาได้ ก็ไม่ใช่เครื่องการันตีความปลอดภัย 100% เนื่องจากโดรนทางการทหารสมัยใหม่มีความสามารถในการ "เปลี่ยนคลื่นความถี่ (Frequency Hopping)" เพื่อหลบหลีกการรบกวนสัญญาณ การรับมือจึงต้องอาศัยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญหน้างานในการปรับจูนสัญญาณแบบเรียลไทม์ ซึ่งต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมมหาศาลในการดำเนินการแต่ละครั้ง และเมื่อดำเนินการเสร็จสิ้น โดรนบางลำจะถูกตัดสัญญาณจนไม่สามารถใช้งานได้ หรือบางลำอาจเพียงแค่บินกลับฐานตัวเองเท่านั้น

สำหรับกระแสข่าวลือที่ว่าจีนยุติการส่งอาวุธให้กัมพูชานั้น แหล่งข่าวระดับสูงเผยว่า ยังไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้อย่างเป็นทางการ แต่มีข้อสังเกตว่าจีนอาจมีท่าทีไม่พอใจกัมพูชาอยู่ลึกๆ สืบเนื่องมาจากความพยายามของกัมพูชาในการถ่วงดุลอำนาจด้วยการสานสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งขัดต่อยุทธศาสตร์ความมั่นคงของจีนในภูมิภาค ทำให้สถานการณ์การสนับสนุนด้านอาวุธจากจีนอาจมีความไม่แน่นอน

...





...