ปอยเปต กัมพูชา จากความหวังสู่แดนนรก หลังเหยื่อคนไทยถูกลวงทำเว็บพนัน ก่อนวางแผนเอาชีวิตรอด หนีออกจากฐานแก๊งสแกมเมอร์ จนถูกตั้งค่าหัวสูงถึง 5 หมื่นบาท
การหลอกลวงแรงงานไทยให้เดินทางไปทำงานผิดกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้าน ยังคงเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้หลายฝ่ายจะเร่งประชาสัมพันธ์และเตือนภัยอยู่เสมอ แต่ขบวนการเหล่านี้ก็ยังปรับเปลี่ยนวิธีการหลอกลวงอย่างแนบเนียน และใช้ช่องว่างความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือ ทำให้เหยื่อจำนวนมากตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงโดยไม่รู้ตัว กระทั่งกลายเป็นแรงงานที่ถูกบังคับ ใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงิน หรือถูกบังคับทำงานผิดกฎหมายรูปแบบต่าง ๆ
เหยื่อจำนวนมากต้องเสี่ยงตัดสินใจด้วยตนเอง โดยขาดข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ทันระวังถึงกลไกล่อลวงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำชวนทำงานรายได้ดี หลายคนจึงก้าวเข้าสู่เส้นทางอันตรายจากความหวังเพียงเล็กน้อยว่าจะมีงานรองรับ โดยไม่รู้เลยว่าการเดินทางครั้งนั้นจะพาไปสู่ชะตากรรมที่ยากจะคาดเดา
เช่นเดียวกับเหยื่อสแกมเมอร์รายนี้ ที่เริ่มต้นจากการมองหางานเพียงเพื่อประคองชีวิต แต่กลับพบเจอประกาศรับสมัครที่ดูน่าเชื่อถือในแอปพลิเคชั่นหนึ่ง จนทำให้เขาตัดสินใจรับงานในตำแหน่ง “แอดมินเว็บพนัน” ที่เมืองไพลิน ประเทศกัมพูชา โดยไม่ทันระวังว่าก้าวแรกของความหวังครั้งนี้ จะพาเขาเข้าสู่เส้นทางหลอกลวงอันซับซ้อนและอันตรายเกินคาด
...
เหยื่อสแกมเมอร์รายนี้เปิดเผยกับทางทีมข่าวเฉพาะกิจ ไทยรัฐออนไลน์ ว่า ประมาณกลางเดือน พ.ย 68ขณะนั้นตนกำลังว่างงานและตะเวนหางานไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพบโพสต์รับสมัครงานในแอปพลิเคชันหนึ่ง เมื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมก็เริ่มมั่นใจว่าเป็นงานที่เชื่อถือได้ จึงตัดสินใจรับทำงานในตำแหน่ง “แอดมินเว็บพนัน” ที่เมืองไพลิน ประเทศกัมพูชา เพราะเคยทำงานด้านนี้มาก่อนและต้องการรายได้ที่สูงขึ้น หลังตกลงเข้าทำงาน นายจ้างแจ้งให้ตนไปเปิดบัญชีธนาคาร 2 บัญชีเพื่อใช้รับเงินเดือน เมื่อเปิดบัญชีเรียบร้อย นายจ้างได้นัดหมายให้มาพบทีมงาน เพื่อตรวจสอบที่ กรุงเทพฯ
ในขั้นตอนการตรวจสอบ ทีมงานได้ขอใช้โทรศัพท์และบัตรประชาชนของตนเพื่อเข้าแอปธนาคาร ตรวจสอบวงเงินว่าตรงตามเกณฑ์หรือไม่ จากนั้นทีมงานแจ้งว่า “วงเงินไม่ผ่าน” แต่ต่อมามีแอดมินที่เคยติดต่อกันระบุว่า “หนูคุยให้แล้ว พี่นั่งรถมาเองได้เลย” ทำให้ตัดสินใจเดินทางไปยังจุดนัดหมายที่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
เมื่อเดินทางถึงอรัญประเทศ ทางนายจ้างให้ตนไปเปิดโรงแรม หลังจากตนเปิดโรงแรมได้ 10 นาที ก็มีสายโทรเข้ามาหาตนว่า “ให้ข้ามชายแดนเลยตอนนี้” แต่จะไม่ได้ข้ามจาก อ.อรัญประเทศ และให้ไปข้ามที่ จ.จันทบุรี แทน เมื่อเดินทางถึงจังหวัดจันทบุรี ทีมงานได้ขับรถพาตนเข้าไปในไร่ผลไม้ จากนั้นมีวัยรุ่นอายุราว 20 ปีมารับช่วงต่อและพาข้ามชายแดน เมื่อถึงแนวแม่น้ำก็มีคนสูงวัยอีกคนมารอรับ เพื่อพาตนล่องเรือข้ามพรมแดน
...
หลังจากข้ามแม่น้ำมาได้ ทีมงานของนายจ้างอีกคนหนึ่งได้ขับรถเก๋งสีขาวมารับตน เพื่อพาเดินทางเข้าสู่เมืองไพลิน เมื่อถึงพื้นที่ดังกล่าว ก็มีรถอีกคันมารับต่อไปยัง “จุดศูนย์กลางของผู้ที่ถูกหลอก” ซึ่งเป็นสถานที่ที่รวบรวมทั้งคนไทยและคนจีนที่ถูกลวงมาทำงานในลักษณะเดียวกันไว้ด้วยกัน เมื่อเดินทางมาถึง ทางทีมงานยึดโทรศัพท์และบัตรประชาชนทันที เพื่อตรวจสอบบัญชีอีกครั้ง วันต่อมา จะมีบอสชาวจีนพร้อมล่ามออกมาต้อนรับและานำรายชื่อมาให้ดูว่าแต่ละคนจะถูกกระจายไปที่ไหน
“คุกปอยเปต” จุดศูนย์กลางของผู้ที่โดนหลอก
เหยื่อเล่าว่า ตนเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่ถูกส่งตัวออกไปยังสถานที่ซึ่งถูกเรียกว่า “คุก” เพื่อทำหน้าที่เป็นแพะรับบาป โดยคุกดังกล่าวคาดว่าเป็นสถานที่ราชการของเมืองปอยเปต มีสภาพค่อนข้างสบาย ไม่ได้ลำบากมากนัก สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เพียงแต่ถูกห้ามไม่ให้ออกนอกพื้นที่อย่างเด็ดขาด ตนอยู่ที่นั่นประมาณ 3 วัน หลังจากนั้นทางทีมงานก็มารับตนเพื่อไปส่งที่ หมู่บ้านซานโฮ สถานที่ฟอกเงินของคนกลุ่มนี้
...
ทันทีที่เดินทางมาถึง หมู่บ้านซานโฮ ทีมงานได้เข้ามาตรวจค้นร่างกายของตนทันทีเพื่อหาอาวุธ พร้อมทั้งยึดโทรศัพท์ไปติดตั้งแอปพลิเคชันคริปโตและแอปพลิเคชั่นเทรดทองเพิ่มเติม รวมถึงเปิดแอปพลิเคชันธนาคารของตน โดยหน้าที่ของตนมีเพียงแค่สแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตนเท่านั้น
ด้านบรรยากาศของ หมู่บ้านซานโฮ เหยื่อเล่าว่า ที่นี่เป็นทาวน์เฮาส์สูง 4 ชั้น มีหลายตึกเรียงรายกัน ตึกที่ตนถูกพาไปอยู่คาดว่าเป็นตึกสำหรับกลุ่มที่ถูกหลอกมา มีคนอยู่ประมาณ 16-17 คน ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่น และยังมีตึกที่ใช้ทำงานเกี่ยวกับการดำเนินบัญชีม้าโดยเฉพาะ ส่วนออฟฟิศที่ใช้สำหรับฟอกเงิน บุคคลภายนอกจะไม่สามารถเข้าได้ ตนจะเข้าได้ก็ต่อเมื่อคนเหล่านี้เรียกให้ไปสแกนหน้า
...
หลังจากที่ตนถูกนำมาปล่อยไว้ที่แห่งนี้ ตนก็ใช้ชีวิตปกติ จนกระทั่งตนรู้ข่าวว่ามีน้องผู้หญิงภายในตึกโดนทำร้าย เนื่องจากบัญชีธนาคารถูกล็อกจนไม่สามารถใช้งานได้ จึงวางแผนกับเพื่อนผู้ชายคนอื่นๆ อีกประมาณ 7-8 คน เพื่อหนี โดยใช้เวลาในการวางแผนทั้งหมด 3-4 วัน
แผนการหลบหนีจากแดนนรก
สำหรับแผนการหลบหนีในครั้งนี้ เหยื่อเล่าว่า ในวันที่ลงมือ ทุกคนลงมือในช่วงเช้า ก่อนเวลา 11.00 น.ตนและเพื่อนรวม 5 คน แบ่งหน้าที่กัน โดยมี 1 คนยืนเฝ้าบันไดเพื่อกันไม่ให้ใครลงมา ส่วนอีก 4 คนดำเนินการตามแผนที่วางไว้ ขณะนั้นตนไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายถึงชีวิต เพียงต้องการทำให้ผู้คุมหมดสติเท่านั้น แต่จู่ ๆ ผู้คุมคนหนึ่งถือกระบองไฟฟ้าเข้ามาช็อตตนก่อน ทำให้ตนต้องป้องกันตัว และเหตุการณ์ก็ลุกลามจนเกิดการเสียชีวิตขึ้น
หลังเกิดเหตุการณ์ เหยื่อเล่าว่า มีเพื่อนอีกคนวนกลับไปเอาโทรศัพท์กับเงินสด แต่ทันใดนั้น กลับมีคนทำบัญชีม้า 2 คนบังเอิญเห็นเหตุการณ์ จึงรีบไปเรียกทีมงานคนอื่นๆ ให้เข้ามาช่วย ทำให้ตนรู้ว่า “แผนหลบหนีถูกเปิดเผยแล้ว” จึงรีบหลบหนีทางหน้าต่าง โดยสามารถพาเพื่อนผู้หญิงออกมาได้เพียง 2 คน แต่เพื่อนที่วนกลับไปเอาโทรศัพท์ก็โดนจับขังทันที ส่วนเพื่อนคนอื่นก็ไม่สามารถหลบหนีออกมาได้ทัน เนื่องจากถูกชาวบ้านในระแวกนั้นถ่ายคลิปไว้และรายงานกับกลุ่มฟอกเงิน จึงทำให้ถูกจับกุมก่อนจะหนีออกมาได้
ตนและเพื่อนผู้หญิงวิ่งออกมาจนถึงถนนใหญ่ และยังคงเดินต่อไปเป็นระยะหนึ่ง ก่อนจะเรียกรถตุ๊กตุ๊กให้ไปส่งที่หน้าด่าน เนื่องจากเกรงว่าหากเรียกรถในเขตใกล้ตึก ซึ่งเป็นพื้นที่ของกลุ่มฟอกเงิน อาจถูกจับได้ว่ากำลังหลบหนีออกมา
เหยื่อเล่าว่า ที่จริงตนคิดจะหนีตั้งแต่วันที่อยู่ในคุกแล้ว แต่ไม่ว่าตนจะมองไปทางไหน ตนก็ไม่เห็นทางที่จะหลบหนีได้เลย ประจวบกับกลุ่มคนที่โดนหลอกมาพร้อมกับตน มีผู้สูงอายุ ตนจึงยังไม่คิดที่จะหนีก่อนในตอนนั้น
สำหรับเหตุผลที่ทำให้มั่นใจว่าจะหลบหนีได้สำเร็จ เหยื่อเล่าว่า ภายในตึกมี ผู้คุมเพียง 2 คน ที่ผลัดเปลี่ยนกันเฝ้า ส่วนคนอื่น ๆ จะนอนพัก จึงเชื่อว่าหากลงมือในจังหวะที่วางไว้ จะไม่มีใครรู้ตัว และสามารถหลบหนีออกมาได้ทันเวลา
“ไม่คิดไม่ฝันว่าตันเองจะมาโดนหลอก เพราะมีประสบการณ์ในการทำงานมาก่อน”
หลังจากหลบหนีออกมาได้ เหยื่อเล่าว่า ตนรู้สึกผิดกับเพื่อน ๆ อย่างมาก เพราะได้ให้สัญญาไว้ว่า“จะไม่ยอมให้ใครอยู่ที่นี่เลยสักคน จะพาหนีด้วยกันทั้งหมด” แต่เมื่อแผนล้มเหลว ตนไม่สามารถอยู่ต่อได้อีก จึงจำเป็นต้องเอาตัวรอดก่อน
“รู้สึกผิดที่หนีมาได้ รู้สึกผิดมากๆ เพราะเราหนีมาได้ แต่เพื่อนต้องรับโทษคนเดียว อยากให้เพื่อนได้กลับบ้าน”
ถูกตั้งหัวสูงถึง 5 หมื่นบาท
ขณะเดียวกัน สื่อกัมพูชากลับนำเสนอข่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า “ไม่มีการฟอกเงิน ไม่มีการกักขัง และไม่มีเว็บพนันในพื้นที่” โดยเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ออกข่าวยืนยันว่า “ปอยเปตไม่มีสแกมเมอร์” หลังจากนั้น บอสชาวจีนได้สั่งให้สื่อกัมพูชาเผยแพร่ข่าวว่าพวกเขาสามารถจับผู้หลบหนีได้แล้ว ทั้งที่ความจริงยังจับไม่ได้ ทำให้ตนถูกตั้งค่าหัวในการตามล่าตัวสูงถึง 50,000 บาท และไม่ทราบว่าปัจจุบันค่าหัวเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพราะฝั่งนั้นไม่รู้ว่าตนได้หลบหนีกลับมายังประเทศไทยแล้ว
“เอาจริงๆผมสะใจ เพราะการที่มันทำกับคนอื่น มันโหดร้ายมาก มันเอาไฟฟ้าช็อต มันทุบตีเด็ก ผมเก็บกดมาตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าโดนหลอก”
“ตอนนั้นผมไม่มีความกลัวเลย ตายก็คือตาย อยู่ไม่ได้แล้ว ต้องพาทุกคนหนีให้ได้”