เสียงสะท้อนจากผู้ป่วยซึมเศร้าที่ต้องยอมเป็นหนี้ เพื่อจ่ายค่ายาจิตเวช “นอกระบบ” ราคาแพงลิบลิ่ว ชี้ การรักษาที่ดูเหมือนจะเข้าถึงได้ง่าย แต่กลับทิ้งภาระทางการเงินหนักอึ้งไว้ให้ผู้ป่วยต้องต่อสู้ลำพัง


แม้การรักษาโรคซึมเศร้าจะสามารถเข้าถึงได้ผ่านสิทธิ์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แต่ผู้ป่วยหลายคนยังต้องเผชิญกับความยากลำบากทางการเงินจากราคายานอกระบบที่สูง โดยเฉพาะผู้ที่อาการคงที่ต้องทานยาต่อเนื่อง ทุกเดือนอาจต้องจ่ายค่ายาไม่ต่ำกว่าหลายพันบาท ทำให้บางคนต้องหยิบยืมเงินจากคนรอบข้างหรือยอมเป็นหนี้เพียงเพื่อไม่ให้ขาดยา

ปัญหาดังกล่าวกดดันทั้งผู้ใหญ่ที่ทำงานไม่เต็มที่อย่างเคสทั้ง 2 กรณีที่ต้องพึ่งพายานอกบัญชี เพื่อให้มีอาการคงที่ ต่างวอนรัฐเร่งแก้โครงสร้างการเงินด้านสาธารณสุขเพื่อแบ่งเบาภาระ

ยอมเป็นหนี้ ดีกว่าต้องขาดยา


...

คุณภัสสรกรณ์ เจาะดำ อายุ 41 ปี เล่าให้ทีมข่าวเฉพาะกิจ ไทยรัฐออนไลน์ ฟังว่า เธอป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามานานกว่า 10 ปี โดยเริ่มแรกจากอาการนอนไม่หลับ จึงเข้าไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับยานอนหลับและยาต้านเศร้า แต่หลังจากทานยาไปสักระยะ กลับรู้สึกไม่อยากทำอะไร ไม่อยากพบเจอใคร ไม่อยากไปไหน อยากนอนอยู่คนเดียว ซึ่งยาที่ทานเป็นยาระบบ ทำให้แพทย์ต้องปรับเปลี่ยนมาใช้ยานอกระบบแทน

คุณภัสสรกรณ์ เจาะดำ
คุณภัสสรกรณ์ เจาะดำ


ปัจจุบัน คุณภัสสรกรณ์เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐ โดยใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) แพทย์จ่ายยานอกระบบให้ 2 ตัว ซึ่งราคายาอยู่ที่เม็ดละ 50 บาท และ 80 บาท โดยต้องรับยาทุก 3เดือน แต่เนื่องจากไม่มีกำลังซื้อในราคาสูง จึงจำเป็นต้องขอแพทย์ให้จ่ายยาทุกครึ่งเดือนถึง 1 เดือนแทน ทำให้ในแต่ละเดือนต้องจ่ายค่ายาไม่ต่ำกว่า 3,500 บาท โดยหลังจากทานยาต่อเนื่อง อาการเริ่มดีขึ้น และสามารถใช้ชีวิตได้บ้าง แต่ยังต้องนอนกลางวัน เนื่องจากฤทธิ์ยาทำให้ง่วงนอน


คุณภัสสรกรณ์ อธิบายถึงเหตุผลที่ต้องทานยานอกระบบว่า เคยกินยาในระบบแล้วอาการไม่ดีขึ้น ต้องปรับยาหลายครั้ง จนพบว่ายานอกระบบช่วยให้อาการดีขึ้น หากช่วงไหนหยุดยา อาการจะกำเริบ เช่น หงุดหงิดง่าย หรือเศร้าจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ ทำให้บางครั้งก็ขัดสนเรื่องค่าใช้จ่าย จำเป็นต้องหยิบยืมเงินจากคนรอบข้างมาจ่ายค่ายา


ก่อนหน้านี้ คุณภัสสรกรณ์เคยรักษาที่คลินิก ค่าใช้จ่ายสูงถึงเดือนละ 4,000 บาท แพทย์จึงแนะนำให้รักษาที่โรงพยาบาลรัฐ เนื่องจากราคายาต่างกันเพียงเม็ดละ 1–2 บาทเท่านั้น


...

เธอเผยว่า อยากให้มีมูลนิธิหรือกลุ่มที่ช่วยเหลือผู้ป่วยจิตเวชเรื่องค่ายานอกบัญชี เนื่องจากกังวลว่าราคายาอาจสูงขึ้นในอนาคต และปัจจุบันก็เป็นภาระหนักอยู่แล้ว


“โดยปกติ คนที่เป็นโรคจิตเวชก็ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่อยู่แล้ว ยิ่งเจอเรื่องราคายาเพิ่มขึ้น เหมือนถูกซ้ำเติมเข้าไปอีก”


การรักษาเข้าถึงง่าย แต่สภาพจิตใจยังถูกมองข้าม?


...

คุณกอบเงิน หนูสอน อายุ 21 ปี เผยว่า เธอป่วยเป็นซึมเศร้ามานานกว่า 6 ปี ในช่วงแรกจะมีอาการมือสั่น ตัวสั่น เหงื่อออก ตัวเย็น กินอาหารไม่ค่อยได้ และนอนไม่เป็นเวลา เมื่อเจอเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจหรือเครียด จะทำให้อยากถอยออกมาจากตรงนั้น ทำให้บางครั้งมีอาการชักร่วมด้วย ซึ่งกว่าจะมารู้ว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าก็กินเวลาค่อนข้างนาน ส่งผลให้ในช่วงแรกต้องรับยาหลายตัว โดยต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองในการใช้ยา เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงได้


ในครั้งแรก เธอรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน โดยใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ต่อมาได้เปลี่ยนโรงพยาบาลเนื่องจากต้องย้ายที่อยู่ แต่ตอนนั้นเธอไม่ได้ย้ายสิทธิ์การรักษาตามมาด้วย ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ตกประมาณ 1,800 - 2,000 บาทต่อเดือน มากสุด 3,000 บาทต่อเดือน โดยหนึ่งในยาที่ต้องทานเป็นยานอกระบบ


...

ส่วนตัวมองว่าตนเองได้รับผลกระทบ เนื่องจากการรักษาในครั้งนี้ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่ผู้ปกครองต้องเสียให้เราเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือน ซึ่งมองว่าค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ อาจสูงเกินไปสำหรับนักเรียนหรือนักศึกษา


ในช่วงหนึ่งเคยหยุดรักษาไป เนื่องจากไม่อยากจ่ายค่ารักษาในส่วนนี้แล้ว แต่อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแนะนำให้ย้ายสิทธิมารักษาที่โรงพยาบาลจังหวัด เนื่องจากสามารถใช้สิทธิบัตรทองได้ ตนจึงกลับเข้าสู่กระบวนการรักษาอีกครั้ง

คุณกอบเงิน หนูสอน
คุณกอบเงิน หนูสอน


คุณกอบเงิน เผยว่า ปัจจุบันผู้คนไม่ค่อยให้ความสำคัญกับผู้ป่วยจิตเวชเท่าไหร่ ต่อให้การรักษาในปัจจุบันจะเข้าถึงง่าย แต่ถ้าพูดถึงเรื่องสภาพจิตใจ ก็ยังมีคนมองข้ามในเรื่องนี้อยู่ดี


เรื่องราคายา ส่วนตัวมองว่าปัจจุบันราคายาจิตเวชแพงจริง เพราะส่วนใหญ่ยาในระบบก็เป็นแค่ยาที่รักษาอาการเบื้องต้น แต่หากต้องการให้อาการป่วยคงที่ อาจจะต้องใช้ยานอกระบบ ทำให้บางคนอาจมองว่านำเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายอย่างอื่นดีกว่า ตอนนี้จึงมองว่ารัฐควรแก้ปัญหาเรื่องระบบโครงสร้างการเงินให้มากกว่านี้ อาจต้องให้งบประมาณเรื่องสาธารณสุข หรือจัดทำโครงการสำหรับผู้ป่วยที่มีรายได้ไม่เพียงพอต่อค่ารักษา ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้เข้าถึงการรักษาได้ง่ายมากขึ้น


“อยากให้รัฐช่วยสนับสนุนประชาชนด้านจิตเวช อยากให้ใส่ใจมากขึ้น ไม่อยากให้มองข้าม อะไรที่ดีก็อยากให้เก็บไว้ แต่ก็อยากให้งบประมาณหรือโครงการอะไรก็แล้วแต่ที่สามารถทำให้ประชาชนเข้าสู่ระบบสุขภาพทางด้านจิตเวชได้ดีขึ้น ก็อยากจะให้ช่วยมาส่งเสริม”


เรื่องราวของผู้ป่วยซึมเศร้าแสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการเข้าถึงยาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความต้องการการดูแลสภาพจิตใจควบคู่ไปด้วย แม้โรงพยาบาลรัฐจะมีบริการและสิทธิ์บัตรทอง ผู้ป่วยยังต้องจัดการกับอาการของโรค ค่าใช้จ่ายในการรักษา และความไม่แน่นอนของชีวิตประจำวัน