193 วัน เจรจาสูญเปล่า “ไทย-กัมพูชา” หลังเสียงปืนสงบลงในการปะทะครั้งแรก มีการเปิดโต๊ะเจรจาหลายเวที เพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน โดยเฉพาะการประชุม JBC, RBC และ ข้อตกลงกัวลาลัมเปอร์” โดยมีสหรัฐอเมริกา ชาติมหาอำนาจร่วมเป็นพยาน แต่ทุกอย่างกลับไร้ผล หลังปะทะครั้งใหม่เริ่มขึ้นอีกครั้ง ซึ่งหากย้อนดูการเจรจาที่ผ่านมา จะเห็นถึงสันติภาพที่อาจไม่มีจริง

เป็นเวลา 193 วัน หลังเหตุไทยปะทะกัมพูชาตลอดปี 2568 จากนั้นก็มีเหตุปะทะตามแนวชายแดนเรื่อยมา เนื่องจากพื้นที่หลายจุดยังไม่มีการปักปันเขตแดนอย่างเป็นทางการ และเป็นเขตที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิ์ทับซ้อนกันมาโดยตลอด ความตึงเครียดของทั้งสองฝ่ายส่งผลให้นำไปสู่การเกิดเหตุปะทะรุนแรงหลายครั้ง มีการสูญเสียทั้งทรัพย์สินและชีวิตประชาชนในพื้นที่ และเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ทั้งสองฝ่ายจึงมีการเจรจาต่อเนื่องผ่านหลายระดับ ทั้งการพบปะของเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ทางการทูต ตลอดจนการใช้เวทีระหว่างประเทศในการเป็นตัวกลางสนับสนุนเจรจา โดยมุ่งเน้นการสร้างข้อตกลงร่วมในการหยุดยิงและกำหนดแนวทางการปฏิบัติในพื้นที่ชายแดน เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะซ้ำซ้อนและลดความเสี่ยงต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้แนวชายแดน

...


การเจรจาครั้งแรกสู่ 3 ข้อยุติ


28 พ.ค. 68 หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ได้รับรายงานว่าเกิดเหตุปะทะอย่างรุนแรง บริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เนื่องจากมีทหารกัมพูชาเข้ามาขุดคูเลต ในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งบริเวณพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ ที่ยังไม่ได้มีการแบ่งเขตแดนอย่างเป็นทางการ ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา และเป็นพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิ์ทับซ้อนมาโดยตลอด


ต่อมา 29 พ.ค. 68 ฝ่ายไทยได้จัดชุดประสานงานไปเจรจา ผลการหารือได้ข้อยุติ 3 ข้อ ดังนี้


1.ให้ทั้งสองฝ่ายแก้ปัญหาผ่านคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC)

2.ให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ในจุดที่เหมาะสมหรือถอนกำลังออกมา เพื่อลดการปะทะ 

3.ให้รักษาความสัมพันธ์อันดีทั้งสองประเภท


การเจรจาในวันนั้นผ่านได้ไปด้วยความเรียบร้อย โดยผู้บัญชาการทหารบกทั้งสองประเทศและผู้บริหารระดับสูงมาพูดคุยเพื่อหาทางออกเรื่องชายแดนที่มีปัญหาร่วมกัน จากผลการพูดคุยทั้งสองฝ่ายจะให้ทหารถอนกำลังไปอยู่ในจุดที่เหมาะสม เพื่อรอคณะกรรมการปักปันเขตแดน โดยกระทรวงการต่างประเทศจะมีการประชุม JBC อีกครั้ง เพื่อตัดปัญหาเรื่องแผนที่ที่ไม่ตรงกัน

...


ข้อตกลงหยุดยิงและปฏิญญาสันติภาพกัวลาลัมเปอร์


หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้มีการเจรจาหารือเพื่อหาข้อยุติในวันนั้น ทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้ดี จนกระทั่ง 24 ก.ค. 68 เกิดเหตุทหารไทยและกัมพูชาเปิดฉากปะทะกันตามแนวชายแดนอีกครั้ง โดยกองกำลังสุรนารีตรวจพบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของกัมพูชาบินล้ำเข้ามาสำรวจในเขตพื้นที่หน้าปราสาทตาเมืองธม หลังจากนั้นจึงเกิดเหตุยิงปะทะด้วยอาวุธปืน และฝ่ายกัมพูชาได้ยิงจรวด BM-21 เข้ามาฝ่ายไทย


ต่อมา 28 ก.ค. 68 ได้มีการจัดประชุมไตรภาคีพิเศษระหว่างไทยและกัมพูชา ที่เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย เพื่อแสวงหาข้อตกลงหยุดยิงและยุติการปะทะในพื้นที่ชายแดนที่มีข้อพิพาท โดยในการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นโดยมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน มีผู้นำเข้าร่วมได้แก่ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีไทย และตัวแทนจาก สหรัฐอเมริกา และ จีน 

...


โดยนายดาโต๊ะ ซรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้ออกมาแถลงข่าวว่า การประชุมไตรภาคีประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งสองฝ่ายได้แสดงเจตจำนงร่วมกันที่จะหยุดยิงทันทีและไม่มีเงื่อนไข ซึ่งจะมีผลบังคับตั้งแต่ วันที่ 29 ก.ค.2568 เวลาเที่ยงคืน (00:00) ตามเวลาท้องถิ่นของทั้งสองประเทศ


ต่อมา 7 ส.ค. 68 เวลา 13.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นมาเลเซีย มีการจัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป(General Border Committee : GBC) ไทย -กัมพูชา สมัยวิสามัญ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยการประชุม GBC ครั้งนี้ผ่านไปอย่างเรียบร้อย มีสหรัฐฯ และจีนร่วมสังเกตการณ์ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องแนวทางการปฏิบัติการตามข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน ซึ่งเป็นแนวทางที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทย ร่วมจัดทำกับฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการฯ ฝ่ายกัมพูชา

...


การประชุม RBC และ JBC


22 ส.ค. 68 มีการจัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) สมัยวิสามัญ ระหว่างไทยและกัมพูชา ที่สโมสรค่ายสุรสิงหนาท มณฑลทหารบกที่ 19 จ.สระแก้ว ฝั่งไทยนำโดย พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 ขณะที่ฝั่งกัมพูชามี พลเอกแอก ซอมโอน ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 ร่วมเป็นประธาน สรุปผลการประชุม RBC ไทย - กัมพูชา สมัยวิสามัญ ในครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายได้ประชุมตกลงกันด้วยดี และเห็นชอบในการปฏิบัติตามข้อตกลงทั้ง 13 ประเด็น จากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป(GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อ 7 ส.ค. 2568 ที่ผ่านมา และหารือในเรื่องสำคัญเพิ่มเติม โดยกัมพูชาเห็นชอบ 3 ประเด็น จากที่ไทยเสนอเพิ่มเติม 4 ประเด็น คือ 


1. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ที่จะดำเนินการร่วมมือในเรื่องการกำจัดทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม โดยพิจารณาให้มีการหารือร่วมกันในการประชุม GBC ครั้งต่อไป


2. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันที่จะร่วมมือและประสานงานกันในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยให้ใช้เวทีของมหาดไทย กัมพูชา ในการได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย และเห็นควรเสนอให้มีการหารือร่วมกันในการประชุม GBC ครั้งต่อไป


3. ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นชอบในการให้มีกลไกแก้ไขปัญหา ด้วยการจัดตั้งชุดประสานงาน (Coordinating Group: CG) และคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (Township Border Committee: TBC) เพื่อเป็นกลไกรองรับของคณะ RBC ในการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่


4. ในเรื่องการแก้ไขปัญหาการละเมิด MOU 43 ฝ่ายกัมพูชาขอให้ใช้กลไกอื่นๆ หารือเนื่องจากไม่อยู่ในอำนาจของ RBC โดยฝ่ายไทยยืนยันเสนอให้ฝ่ายกัมพูชาได้ทราบว่าเป็นพื้นที่ที่สำคัญ และได้แจ้งเจตนารมณ์ที่ชัดเจนของฝ่ายไทยในการแก้ไขปัญหา



ต่อมา 21-22 ต.ค. 2568 มีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ณ โรงแรม มณีจันท์รีสอร์ท จันทบุรี โดยประธานฝ่ายไทย คือนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ส่วนฝ่ายกัมพูชา คือนายฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดนและหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา สำหรับผลการประชุม มีดังนี้


1. ทั้งสองฝ่ายมอบหมายให้คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม (Joint Technical Sub-Commission: JTSC) ดำเนินการสร้างหลักเขตแดนใหม่ เพื่อทดแทนหลักเขตแดนเดิมที่ชำรุดหรือสูญหาย จำนวน 15 หลัก ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายมีความเห็นตรงกันแล้ว ให้กลับคืนสู่ที่ตั้งและตำแหน่งเดิม

2. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดทำหลักเขตแดน เพื่อเปลี่ยนหรือทดแทนหลักเขตแดนเดิมที่จมน้ำ จำนวน 3หลัก โดยจะกำหนดตำแหน่งที่ตั้งใหม่ร่วมกันในภายหลัง

3. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้เร่งรัดการแก้ไข Terms of Reference 2003 (TOR 2003) เกี่ยวกับการจัดทำแผนที่ภาพถ่าย (Orthophoto Maps) เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ เช่น Light Detection and Ranging (LiDAR) มาใช้ในการทำแผนที่ภาพถ่าย เพื่อให้การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

4. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะหารือเพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับคำแนะนำทางเทคนิค (Technical Instruction: TI)สำหรับการสำรวจและวางหมุดชั่วคราวในพื้นที่ภูมิประเทศที่มีความเร่งด่วนในบริเวณหลักเขตแดนที่ 42ถึง 47 บริเวณบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว เมื่อทั้งสองฝ่ายดำเนินการสำรวจและวางหมุดชั่วคราวเสร็จสิ้นแล้ว จะนำผลการสำรวจดังกล่าวเสนอต่อรัฐบาลเพื่อขอความเห็นชอบ เพื่อกำหนดกลไกที่เหมาะสมสำหรับการปรับการถือครองที่ดินของทั้งสองฝ่ายต่อไป ทั้งนี การวางหมุดชั่วคราวใ มีจุดประสงค์เพื่อการสำรวจเท่านั้นและจะไม่กระทบต่อสิทธิของไทยและกัมพูชาในเรื่องเขตแดนทางบกตามกฎหมายระหว่างประเทศ

5. ทั้งสองฝ่ายตกลงจะกำชับให้หน่วยงานท้องถิ่น ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน รับประกันความปลอดภัยให้กับชุดสำรวจจากทุ่นระเบิด ตามข้อ 3 ของ MOU 2543 และเพื่อให้ชุดสำรวจสามารถปฏิบัติงานได้โดยปราศจากการขัดขวางและการยั่วยุที่อาจส่งผลให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มเติมในบริเวณดังกล่าว

6. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะจัดการประชุม JBC ครั้งต่อไปในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2569 ที่เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา



การปะทะครั้งใหม่


แม้มีข้อตกลงสันติภาพของทั้งสองฝ่าย แต่เหตุปะทะตามแนวชายแดนยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง 10 พ.ย. 68 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานเหตุการณ์จากกองทัพบกกรณีมีทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณพื้นที่ห้วยตามาเรีย จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีความไม่สบายใจอย่างยิ่ง และได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหมพิจารณาประท้วงไปยังคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) โดยจะดำเนินการให้ถึงที่สุด


ต่อมา 7 ธ.ค. 68 เกิดเหตุการณ์ปะทะอีกครั้ง บริเวณพื้นที่ภูผาเหล็ก-พลานหินแปดก้อน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ส่งผลให้มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต โดย พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะที่ฝ่ายไทยกำลังปฏิบัติภารกิจในการปรับปรุงเส้นทางในเขตอธิปไตยไทย แต่มีกลุ่มทหารกัมพูชาได้ใช้อาวุธยิงเข้ามาใส่ชุดรักษาความปลอดภัยของหน่วยทหารช่างที่กำลังปรับปรุงเส้นทาง ฝ่ายไทยจึงได้ทำการยิงตอบโต้กลับไป ทำให้เกิดการปะทะกันอยู่ราว 15-20 นาที


ต่อมา 8 ธ.ค. 68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า ในช่วงเช้ามืด ทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงทหารไทยบริเวณช่องอานม้า ก่อนขยายไปจุดอื่นๆ โดยฝ่ายไทยได้ยิงตอบโต้ตามกฎการปะทะสากล รวมถึงมีการประกาศอพยพประชาชนในพื้นที่แนวชายแดนทั้ง 4 จังหวัดแล้ว


แม้ทั้งสองประเทศจะมีความพยายามเจรจาและข้อตกลงหยุดยิง แต่สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชายังคงตึงเครียดและเกิดเหตุปะทะเป็นระยะ ทางการยังคงเฝ้าระวังและประสานงานอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันความขัดแย้งและลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น