วงในตำรวจเผย งานเลี้ยงในรูปหลุด "เอกนิติ" เจอ "เบน สมิธ" หลักสูตรรวมมิตร ของอดีตนายตำรวจดัง สานต่อคอนเนคชั่น ไม่ได้รับงบหนุนจาก สตช. ชี้ต้นเหตุเคยหายไป แล้วกลับมาใหม่ เน้นคนดัง-นักธุรกิจ


หลังมีภาพหลุดเผยแพร่มาในโลกออนไลน์ โดยเป็นภาพของ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คู่กับ เบน สมิธ ที่ล่าสุดมีการเกี่ยวโยงทำให้มีการยึกอายัดทรัพย์ จนมีการตั้งข้อสังเกตว่านายเอกนิติ จะมีความเชื่อมโยงหรือไม่ แต่ล่าสุดวันนี้ 4พ.ย. 68 นายเอกนิติ ยืนยันว่า ภาพที่เผยแพร่เป็นงานเลี้ยงหลักสูตรระดับสูงของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยตนเป็นผู้บริหารหลักสูตร และไม่รู้ว่า เบน สมิธ มาในงานได้อย่างไร 

ทีมข่าวเฉพาะกิจ ไทยรัฐออนไลน์ ได้พยายามหาคำตอบถึงหลักสูตรดังกล่าวที่อาจเกี่ยวโยงกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่ โดยสอบถามไปยังแหล่งข่าวระดับสูงในวงการตำรวจ เปิดเผยว่า ปกติสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะมีหลักสูตรการบริหารรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมภาครัฐร่วมเอกชน (บรอ.) ที่จะมีการสนับสนุนด้านงบประมาณ และมีขั้นตอนการคัดเลือก แต่ก็มีอีกหลักสูตร ที่เรียกว่า “หลักสูตรรวมมิตร” ที่ถูกริเริ่มโดยนายตำรวจระดับสูงท่านหนึ่ง ซึ่งเคยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนมีช่วงหนึ่งที่ไม่ได้รับสนับสนุน แต่ก็ได้รับงบประมาณบางส่วน เมื่อไม่นานมานี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนา ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างตำรวจระดับผู้ใหญ่กับนักธุรกิจหรือผู้บริหารชั้นนำจากภาคเอกชน

...

ภาพที่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีภาพกับ นายเบน สมิธ เป็นงานเลี้ยงใน “หลักสูตรรวมมิตร” 


โดยที่มา “หลักสูตรรวมมิตร” ช่วงที่อดีตนายตำรวจที่ริเริ่มยังรับราชการอยู่ ท่านได้ของบประมาณ เพื่อจัดโครงการภายใต้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ภายหลังเกิดความขัดแย้งกับ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น จึงทำให้ไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณอีกต่อไป

ต่อมาเมื่อ พล.ต.อ.สุวัฒน์ เกษียณอายุราชการ นายตำรวจท่านดังกล่าวได้นำโครงการกลับมาจัดอีกครั้ง

แหล่งข่าวระดับสูง เผยว่า หลังจากฟื้นโครงการขึ้นมา โครงการก็ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนภาคเอกชน โดยส่วนใหญ่จะคัดเลือกผู้เข้าร่วมจากกลุ่มวีไอพี หรือผู้บริหารธุรกิจ ขณะที่ฝ่ายตำรวจจะคัดเลือกนายตำรวจที่มีอนาคตไกลเข้ามาร่วมหลักสูตร ทำให้โครงการดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะผู้เรียนจำนวนมากมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันอยู่แล้ว

สำหรับประเด็นที่มีการกล่าวถึงชื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แหล่งข่าวระดับสูงอธิบายว่า แม้หลักสูตรนี้จะมีประโยชน์ ทั้งต่อการพัฒนาตำรวจไทย นักลงทุน นักธุรกิจ และประชาชนทั่วไป แต่ข้อจำกัดคือหลักสูตรก่อตั้งโดยอดีตนายตำรวจและใช้เงินจากกองทุนเอกชน ไม่ได้ใช้งบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงเป็นโครงการเฉพาะกิจ หากผู้จัดไม่มีอำนาจหรือบารมีเพียงพอ ก็ยากที่จะมีคนเข้าร่วม

ในช่วงหนึ่งจึงมีการดึงอดีตนายกฯ เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาภาคเอกชน

แหล่งข่าวระดับสูงย้ำว่า แม้ทุกหลักสูตรจะมีวัตถุประสงค์ที่ดี แต่ความนิยมที่ผู้คนต่างวิ่งเต้นเข้ามาเรียนเพื่อสร้างคอนเนกชัน หากไม่มีการตรวจสอบคุณสมบัติอย่างเข้มงวด ก็อาจเปิดช่องให้นักธุรกิจบางรายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาเข้ามา จนทำให้ภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหายได้

เมื่อทีมข่าวสอบถามว่า การที่ เบน สมิธ พยายามเอาตัวเข้ามาในหลักสูตรนี้ ถือเป็นการต่อคอนเนคชั่นอย่างหนึ่งหรือไม่ แหล่งข่าวระดับสูงตอบว่า แน่นอน เบน สมิธ เขารู้จักหมดทุกคน อย่างไรก็ตาม สังคมไทยยังคงเป็น “สังคมอุปถัมภ์” อยู่มาก แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าบุคคลที่ถูกกล่าวถึงไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว

สำหรับความแตกต่างระหว่างหลักสูตรรวมมิตรกับหลักสูตรการบริหารการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมภาครัฐร่วมเอกชน (บรอ.) แหล่งข่าวระดับสูงให้ข้อมูลว่า แท้จริงแล้วทั้งสองหลักสูตรมีวัตถุประสงค์คล้ายกัน คือการส่งเสริมความรู้และความร่วมมือระหว่างตำรวจกับภาคส่วนต่างๆ

ขณะที่ หลักสูตรรวมมิตร แหล่งข่าวระบุว่า ตนไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียดของหลักสูตรนี้ และไม่ทราบเชิงลึกว่ามีการจัดอย่างไรหรือจัดที่ใด เนื่องจากปัจจุบันหลักสูตรนี้ใช้เงินสนับสนุนจากภาคเอกชน เพียงแต่มาขอจัดกิจกรรมภายใต้นามของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่านั้น

เมื่อทีมข่าวถามว่าหลังจากนี้หลักสูตรรวมมิตร น่าจะมีการตรวจสอบเพิ่มเติมจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือไม่ แหล่งข่าวระดับสูงเผยว่า ตนไม่ทราบว่าหลังจากนี้จะมีการเปิดต่อหรือไม่อย่างไร แต่หากมาขออนุมัติจาก ผบ.ตร. ในการให้ตำรวจในสังกัดเข้าร่วมหลักสูตร ก็คงต้องมีการพิจารณากันอย่างละเอียดถี่ถ้วน

...


หลักสูตร บรอ. มาตรฐานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ


ขณะเดียวกันทีมข่าวได้สอบถามไปยัง พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ กรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) ผู้ทรงคุณวุฒิ ถึงหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงที่อยู่ในความดูแลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยได้ให้ข้อมูลว่า สำหรับหลักสูตรการบริหารการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมภาครัฐร่วมเอกชน(บรอ.) มีการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกลุ่มผู้เข้าร่วมจากภาคเอกชน โดยผู้สมัครจากภาคเอกชน จะต้องเข้ามาในนามองค์กรหรือ สถาบันน่าเชื่อถือ เช่น สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้าไทย สมาคมผู้ประกอบกิจการต่างๆ

...

ส่วนผู้สมัครจากภาครัฐ ต้องมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมีความชัดเจน เช่น กรมราชทัณฑ์ กรมการปกครอง หรือศาลและอัยการ ไม่ใช่การสมัครแบบรายบุคคลหรือ walk-in เข้ามาเอง


หลักสูตรที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดอย่างเป็นทางการนั้นมีมานานกว่า 12 ปี และกำลังก้าวสู่ปีที่ 13 คือหลักสูตรการบริหารการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมภาครัฐร่วมเอกชน (บรอ.) ซึ่งใช้งบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)

ล่าสุด หลักสูตรดังกล่าวได้ถูกเสนอเข้าที่ประชุม ก.ตร. เพื่อขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลา ซึ่งกรรมการได้เสนอให้มีความเข้มงวดมากขึ้นในการคัดเลือกคนที่เข้ามาเรียน เพราะการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาเรียน อาจก่อให้เกิดปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ความเหมาะสม และพฤติกรรมอย่างที่ปรากฏในข่าว

อย่างไรก็ตาม หลักสูตร ก.ตร. เป็นหลักสูตรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างเป็นทางการ ใช้งบประมาณของสำนักงานฯ และต้องผ่านการพิจารณาอนุมัติจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบและกำกับหลักสูตรต่างๆ

...